ปี 2025 อีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของภาครัฐและเอกชนไทย ที่ต้องเผชิญกับขวากหนามบนเส้นทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050 ด้วยประเด็นที่หลากหลาย ทั้งด้านการเงิน ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยี-เอไอ รวมทั้งการลงลึกในแนวทาง ESG ที่แต่ละฝาย แต่ละองค์กร
ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายชัดเจน ในการประชุมระดับสูง COP29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อปลายปี 2024 ด้วยเป้า NDC (‘การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ หรือ Nationally Determined Contributions) ที่เดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ครอบคลุมทั้งภาคพลังงาน อุตสาหกรรม การขนส่ง และการเกษตร รวมทั้งประกาศผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวเต็มที่
- ไทยส่งการบ้านโลกร้อน BTR
นอกจาก NDC แล้ว ไทยโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือ กรมโลกร้อน ยังส่งรายงานความโปร่งใสในระยะสองปี (Biennial Transparency Report หรือ BTR) ฉบับที่ 1 ต่อประชาคมโลก ปลายปีที่ผ่านมา แสดงผลงานแก้ปัญหาโลกเดือดของไทย ซึ่งเป้นไปตามกำหนดที่ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) จะต้องส่งรายงานความโปร่งใสรายสองปี ทุก 2 ปี
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมโลกร้อน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ได้จัดส่งรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 ของประเทศไทย (Thailand’s First Biennial Transparency Report : BTR1) ไปยังสำนักเลขาธิการ UNFCCC เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 รายงานฉบับนี้ นอกจากเป็นการสื่อสารความคืบหน้า ผลการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยไปสู่ประชาคมโลก ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขอรับการสนับสนุนเทคโนโลยี องค์ความรู้ และแหล่งเงินทุนต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขับเคลื่อนการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายของประเทศอีกด้วย
สาระสำคัญของ รายงาน BTR1 ประกอบด้วย
- สภาวการณ์ของประเทศ
- บัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยนำเสนอปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ระหว่างปี ค.ศ. 2000-2022 ซึ่งปี ค.ศ. 2022 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวม 278,039.73 ktCO2eq (รวมภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน) และมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 385,941.14 ktCO2eq (ไม่รวมภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน)
- ความก้าวหน้าของการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย NDC ในปี ค.ศ. 2021-2022 ประเทศไทยมีการลดก๊าซเรือนกระจก รวม 60.33 MtCO2eq และ 65.23 MtCO2eq ตามลำดับ สำหรับความก้าวหน้าในการดำเนินงานตาม NDC ภายใต้มาตรา 4 ของความตกลงปารีส ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานที่ 30.46% เมื่อเทียบกับ BAU และการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศทั้งสิ้น 1,916 tCO2eq ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ
- ผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำร่องด้านการปรับตัว 6 สาขา จำนวน 6 จังหวัด
- การเงิน การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และข้อจำกัด ช่องว่าง ความต้องการและการสนับสนุนที่ได้รับ วงเงินประมาณ 38,668.47 ล้านบาท หรือ 1,102.92 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน ปี 2025 NDC ฉบับที่ 3 ที่มีกำหนดส่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 จะสะท้อนว่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยและประเทศต่าง ๆ จะปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับวิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ หลังจากที่ NDC ฉบับที่ 2 ไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30 – 40% ภายในปี 2030
การประชุม COP30 ในช่วงสิ้นปี 2025 ที่เมืองเบเลมของประเทศบราซิล จะเป็นเวทีสำคัญในการการขีดเส้นทางการเดินหน้าแก้ปัญหาคาร์บอนในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งติดตามว่า ที่ผ่านมาแต่ละประเทศสามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ได้จริงหรือไม่ เพราะการรับมือวิกฤตโลกร้อนไม่ได้ขึ้นอยู่กับประกาศเป้าหมายอย่างใน NDCs แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามประกาศและข้อตกลงเหล่านั้นอย่างจริงจังของทุกประเทศ
- สร้างสมดุลพัฒนาศก.-อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ความมุ่งมั่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังครอบคลุมถึงการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
1. การเงิน: หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน
หนึ่งในประเด็นหลักที่ท้าทายคือการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอน การลงทุนในพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสีเขียว และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนต้องการงบประมาณมหาศาล ภาครัฐจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษีหรือการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ต้องปรับตัวในการจัดทำรายงานความยั่งยืนและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ความหลากหลายทางชีวภาพ: รากฐานของความยั่งยืน
การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ทรัพยากรธรรมชาติของไทย เช่น ป่าไม้ แม่น้ำ และทะเล กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์พื้นที่ธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศไม่เพียงแต่ช่วยลดคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ แต่ยังสร้างโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงนิเวศ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
3. เทคโนโลยีและเอไอ: ตัวเร่งการเปลี่ยนแปลง
เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การพัฒนาระบบพลังงานอัจฉริยะ การปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคการผลิต และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวางแผนที่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างแพร่หลายยังต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของการเข้าถึงและการลงทุน
4. แนวทาง ESG: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ
การดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับองค์กรในทุกภาคส่วน การสร้างสมดุลระหว่างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่โปร่งใส เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ องค์กรที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวทางนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นผู้ชนะในระยะยาว
ขยายความอีกนิด กับแนวทาง ESG: การสร้างสมดุลระหว่างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการ
การสร้างสมดุลระหว่างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่โปร่งใส (ESG) กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการความยั่งยืนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยที่กำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 องค์กรต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ตั้งแต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่น
การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์: การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
การจัดการทรัพยากรน้ำ: การพัฒนาโครงการรีไซเคิลน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม และการปลูกป่าฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำ
การจัดการของเสีย: การใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น การนำวัสดุเหลือใช้กลับมารีไซเคิลเพื่อลดขยะ
ส่วนการบูรณาการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์กรต้องไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและสังคม ตัวอย่างเช่น
การสนับสนุนชุมชน: การส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น การพัฒนาทักษะให้กับแรงงาน และการสนับสนุนธุรกิจชุมชน
การสร้างความตระหนักรู้: การจัดโครงการรณรงค์เพื่อให้พนักงานและชุมชนเข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การเสริมสร้างความเท่าเทียม: การส่งเสริมความหลากหลายในที่ทำงาน และการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับทุกคน
สุดท้ายคือการบริหารจัดการที่โปร่งใสและยั่งยืน การบริหารจัดการที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์กรต้องมีระบบติดตามและรายงานผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงานด้าน ESG เช่น:
การจัดทำรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report): การรายงานข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับการลดคาร์บอน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมในชุมชน
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: การกำหนดเป้าหมายที่สามารถวัดผลได้ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030
การมีส่วนร่วมของผู้บริหาร: การนำผู้บริหารระดับสูงเข้ามามีบทบาทในการกำหนดกลยุทธ์และตัดสินใจด้าน ESG
หลายองค์กรในประเทศไทยได้เริ่มนำแนวทาง ESG มาปรับใช้ เช่น บริษัทพลังงานที่ลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน หรือบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่เปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรและเพิ่มความเชื่อมั่นในสายตาของผู้บริโภค
- ความร่วมมือคือกุญแจสำคัญ
ความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน การสร้างความตระหนักรู้ การพัฒนาทักษะ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุกระดับจะช่วยให้เราก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ไปได้
ปี 2025 จึงไม่ใช่เพียงอีกหนึ่งปีในปฏิทิน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะกำหนดอนาคตของประเทศและโลกใบนี้
การสร้างสมดุลระหว่างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่โปร่งใสไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการความยั่งยืนในระยะยาว การดำเนินงานตามแนวทาง ESG อย่างจริงจังจะช่วยให้องค์กรไทยสามารถรับมือกับความท้าทายและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงบนเส้นทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050