นักลงทุน ระดับคันทรี่ กรุ๊ป อย่าง “เบน เตชะอุบล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD ที่ลงทุนสร้างโปรเจคใหญ่ โครงการมิกซ์ยูสริมแม่น้ำ มูลค่ากว่า 32,000 ล้านบาท จนประสบความสำเร้จแม้เจอวิกฤตโควิด -19 แถมยังต่อยอดด้วยโปรเจค โรงเรียนนานาชาติ และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี มูลค่ารวม 14,200 ล้านบาท
เขาคิดอะไร…ลองไปติดตามดูกัน
เริ่มต้นสำหรับผู้บริหารที่มีชื่อจริงว่า “เบน” และชื่อเล่นว่า “บี” คนนี้ เขาเปิดแนวคิดที่ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย กับเป้าหมายการ “สร้างรายได้ต่อเนื่อง โดยลงทุนในเซ็กเตอร์ที่มีความน่าสนใจ เป็นธุรกิจ Sunrise”
ธุรกิจที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้ มีทั้ง โรงแรม โรงเรียน ดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในแต่ละธุรกิจมีคุณสมบัติที่ชัดเจน และยังมีโครงการ อิลิเม้นท์ ศรีนครินทร์ รวมทั้งโครงการที่ออสเตรเลีย ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
สำหรับโครงการขนาดยักษ์ “เจ้าพระยา เอสเตท” ที่ประกอบด้วย โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพ ซึ่งเป็นอาคารพักอาศัยหรูระดับลักชัวรี่สูง 73 ชั้น และโรงแรมระดับเวิลด์คลาสถึง 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพ และโรงแรมคาเพลลา ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
“เบน” ต่อยอดความสำเร็จสู่การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่แห่งใหม่ เนื้อที่ 23 ไร่ บนถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ในย่านพระราม 3 ที่ประกอบด้วย โรงเรียนนานาชาติ และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี มูลค่า 14,200 ล้านบาท ขณะนี้เริ่มก่อสร้างโรงเรียนนานาชาติพระราม 3 แล้ว ตั้งแต่ 19 พฤษภาคม 2566 ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างเตรียมการพัฒนา คาดจะเริ่มเปิดขายได้ในไตรมาส 4/256
ผู้บริหารหนุ่มคนนี้ เป็นทายาทคนที่ 2 ในจำนวน 4 คนของเจ้าพ่อเรียลเอสเตทเมืองไทย “สดาวุธ-อรวรรณ เตชะอุบล” ที่ไปอยู่ออสเตรเลียตั้งแต่เกิด และกลับมาเมืองไทยพร้อมประสบการณ์มากมายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บวกกับดีกรีเกียรตินิยม ทั้งปริญญาตรี สาขากฎหมายและการค้าจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ต่อด้วยด้วยเอ็มบีเอจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์
“เบน” ออกตัวว่า เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกคือ เขานักบริหารและนักลงทุนที่เก่งกาจคนหนึ่ง ระหว่างการสร้างโครงการเจ้าพระยา เอสเตท เขายังลงทุนต่อเนื่องในอีกหลายโปรเจค โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษ มีทั้งโครงการโรงเรียน ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งแต่ละธุรกิจที่เลือกลงทุนต้องมีรีเทิร์นไม่น้อยกว่า 15-20% รวมทั้งต้องเป็นธุรกิจที่มีอนาคต และมีการเติบโต
วิธีคิดในการลงทุนแต่ละครั้ง “เบน” บอกว่า เน้นการลงทุนในสิ่งที่มีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ อย่างการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอยากลงในสิ่งที่ทำแล้วมีจุดเด่นจริงๆ เพราะการพัฒนาในไทยมีเยอะมาก และหลายๆ ครั้งแยกไม่ถูก ทำเลห่างกันนิดเดียว โครงการมีความคล้ายกันจนไม่เห็นความต่าง…
ในระยะยาวของคันทรีฯ ผู้บริหารคนนี้บอกว่า จะเน้นการสร้างรายได้ต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ธุรกิจในเซ็กเตอร์ที่มีความน่าสนใจ เป็นธุรกิจ Growth Sectors หรือ Sunrise วันนี้ที่คันทรี กรุ๊ป มีแล้ว คือ โรงแรม โรงเรียน ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย ทว่า ในแต่ละธุรกิจมันมีคุณสมบัติที่มีความชัดเจน
แต่ของเราเวลาพัฒนา เราจะเน้นที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง อย่างโครงการนี้ เริ่มแรกคนไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำเป็นซูเปอร์ลักชัวรี่ริมน้ำ แต่เรามองว่า ถ้ามันมีโรงแรมแบบนี้จริง ไลฟ์สไตล์และแบรนด์เป็นแบบนี้ มันก็ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้ และที่สำคญคือ เป็นการลงทุนที่ไม่สร้างผลกระทบหรือปัญหาใดๆ เลย
หรือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรม โรงเรียนนานาชาติ ก็เป็นธุรกิจทที่สร้างรายได้สม่ำเสมอด้วยเช่นกัน ซึ่ง “เบน” ให้ความสำคัญกับสองธุรกิจนี้มากถึง 50% โดยดูได้จากโครงการของคันทรี่ กรุ๊ป ที่ผ่านมา และที่กำลังเกิดขึ้น
อสังหาเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน เพราะความเป็นเจ้าของในตัวอสังหา สร้างเสร็จอยู่แล้ว มีรายได้ด้วย มันดีมากๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และด้วยเน็ตเวิร์คที่มีอยู่ จึงทำให้มีโอกาสเข้ามาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น จึงเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นท็อปมาร์เก็ต เมื่อลงทุนแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการเพิ่มมูลค่า
“ผมคิดว่า เราจะไม่ทำอะไรที่เหมือนในตลาด อันไหนฮอตคู่แข่งก็เยอะ เราไม่ไปแข่ง เราจะแข่งที่มีจุดเด่น ที่สำคัญในมุมการลงทุนของผู้ชายคนนี้ เขาไม่เน้น Land Bank หรือการซื้อที่ดินสะสม เราจะเน้น ที่ที่มีโอกาส และมาร์จิ้นสูง แต่โอกาสมีอยู่เรื่อยๆ ซึ่งมีอยู่เยอะมาก”
การลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย “เบน” บอกว่า เขาไม่ใช่คนที่เข้าไปทำหน้าที่บริหารรายวัน แต่เขาคือนักลงทุนและนักพัฒนา ส่วนงานบริหารโปรเจครายวัน คือการคัดเลือกพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมและต่อยอด
การเป็นนักลงทุนที่ดี นอกจากทักษะด้านการเงินแล้ว ทักษะในการเป็นเป็นผู้นำ ที่สามารถนำทีมงาน และสร้างแรงบันดาลใจ (Inspire) ทุกๆ คนได้ ไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือพาร์ทเนอร์ นั่นคือสิ่งสำคัญ โดยผู้นำต้องมีความชัดเจนในการโน้มน้าว (Convince) นี่คือคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้
“ผมเจรจาไม่เก่ง แต่เราคิดว่า สิ่งที่เราทำด้วยความตั้งใจ และมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง…นั่นคือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของ คันทรี่ กรุ๊ป สามารถเดินหน้ามาได้และจะเดินต่อไปสู่งเป้าหมายที่มั่นคงและยั่งยืน”