วิกฤตโควิด-19 ถือเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ ที่กระตุ้นให้คนไทยและทั่วโลกตื่นตัวเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ ที่สำคัญวิกฤตการณ์ครั้งนั้น ยังทำให้เห็นความสามารถด้านการแพทย์ของไทยอย่างชัดเจน
รัฐบาลจึงส่งเสริมและผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก หรือ Medical and Wellness Hub” เพื่อรองรับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการเข้ามาดูแลสุขภาพควบคู่กับการพักผ่อน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ภูมิภาคอีกด้วย
หากแต่เป้าหมาย Medical and Wellness Hub จะเป็นจริงไปไม่ได้ ถ้าขาด “Physician-Scientist…แพทย์ที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับการแพทย์” อย่าง “ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง” หัวหน้าโครงการโรคมะเร็งในเด็กและอาจารย์แพทย์สาขาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา และกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศิษย์คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดีรุ่นที่ 17 ที่ตั้งเป้าสร้างทีม “Physician-Scientist” จนเป็นผลสำเร็จ และได้ก้าวสู่ “Entrepreneur” ที่มีเป้าหมายต่อยอดงานวิจัยทางการแพทย์ชั้นสูง เพื่อรักษาผู้ป่วย อย่างโรคธาลัสซีเมีย หรือมะเร็ง ที่เกี่ยวกับเลือด ด้วยเทคโนโลยี CAR-T CELL และยีนบำบัดเป็นรายแรก

“ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง” เป็นผู้ริเริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากบุคคลอื่นที่มิใช่พี่ น้อง พ่อ แม่ ในกรณีที่ผู้ป่วย หรือพี่น้องที่มีเนื้อเยื่อตรงกัน ที่จะบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตได้ และการปลูกถ่ายโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากพ่อหรือแม่ ที่มีเนื้อเยื่อ (HLA) ไม่ตรงกันที่เรียกว่า haploidentical โดยสามารถปลูกถ่ายได้เกือบทุกอายุ จนถึงอายุ 30 ปี มีอัตราการหายขาดจากโรค และรอดชีวิตมากกว่า 95% ไม่ว่าจะทำการปลูกถ่ายโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากพี่น้อง หรือจากบุคคลอื่นที่มีเนื้อเยื่อตรงกัน แม้กระทั่งใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากพ่อหรือแม่ที่มีเนื้อเยื่อเหมือนกันครึ่งหนึ่งแบบ haploidentical
ความรู้จากการปลูกถ่าย haploidentical ในโรคธาลัสซีเมีย สามารถนำไปรักษาโรคอื่น ๆ ได้อีกหลายโรค เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูกฝ่อ และโรคพันธุกรรมอื่น ๆ ความรู้ที่ได้สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียให้หายขาดได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวันนี้ มหิดลได้ต่อยอดสู่ “กองทุนมูลนิธิมหิดลเพื่อความยั่งยืน มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ระดมทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนา “โรงงานยาที่มีชีวิต” หรือ MU-Bio Plant สร้างยาจากเซลล์ที่มีชีวิต (Living Drug) เป็นกลุ่มยา ATMP แห่งแรก เพื่อขยายผลสู่การผลิตยาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งและโรคร้ายแรงในประเทศไทย และภูมิภาค ตอบโจทย์ความท้าทายทางสุขภาพในปัจจุบันและอนาคต

“ศ.นพ.สุรเดช” เล่าว่า ทำงานแพทย์และนักวิจัยที่มหิดล มากว่า 26 ปี ความฝันคือ การสร้างคนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า “Physician-Scientist” ซึ่งหมายถึงแพทย์ที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับการแพทย์ เช่น การวิจัยทางชีวการแพทย์ควบคู่กับการรักษาคนไข้ ตลอด 26 ปี ก็ทำงานแบบนี้มาตลอด
“ผมเป็นนักปฏิบัติ ก็จะเอานโยบายที่มีผู้นำมาทำต่อ คือ เรื่องของการทำ CAR T-CELL THERAPY ซึ่งมันคือการตัดแต่งพันธุกรรม เอาเม็ดเลือดขาวมาตกแต่งพันธุกรรม เอามาทำในหลอดทดลอง แล้วนำมาใส่ไปในเม็ดเลือกขาว งานนี้เกิดที่สหรัฐอเมริกา ต้นทุนสูงถึง 15-16 ล้าน เราเลยทำ ซึ่งได้ต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก ผมอยากให้ไทยเป็นเมดิคัลฮับ”
“ศ.นพ.สุรเดช” บอกว่า หมอเราจบจากสหรัฐอเมริกาเป็นแค่ Skilled Labour คือ เป็นแรงงานที่มีความชำนาญ แต่ไม่ใช่ innovatist Labour จึงทำให้เกิดความฝันที่อยากมี Innovatist ทำให้เกิดการรวบรวมนักวิจัย ตั้งเป็นบริษัท จนปัจจุบันมีทีมงานแล้วกว่า 100 คน

นายแพทย์และนักวิจัยท่านนี้ เริ่มงานจากการทำ R&D เป็น Innovator แล้วก็ผันตัวเองมาเป็น Entrepreneur เป็นสตาร์ทอัพ ที่ได้เงินทุนจากบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) และบริษัท Energy Absolute,.PcL และร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตั้งเป็นบริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด (GNPT) ต่อยอดงานวิจัยทางการแพทย์ชั้นสูง เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่เกี่ยวกับเลือด ด้วยเทคโนโลยีเซลล์ และยีนบำบัดเป็นรายแรก
“เราเอา Patent หรือ License เข้าไปขาย เราเริ่มทำปี ค.ศ. 2020 ที่ Science Park ปทุมธานี ภายใต้การดูแลของ สวทช. (NSTDA) ทำให้เกิดเป็น GMP Lab ทำเรื่องตัดต่อพันธุกรรม ได้รับ อย. และนำเข้าสู่ อย. เป็นยาใหม่”

จากการไปพบและพูดคุยกับ ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตประธานกรรมการของมหาวิทยาลัยมหิดล “ศ.นพ.สุรเดช” เล่าว่า ได้รับคำแนะนำว่า ตอนนี้ต้องมองข้ามเรื่องค่าใช้จ่าย ไปสู่การมองเรื่องการส่งออกให้ได้ ดังนั้นจึงมีการติดต่อกับเวียดนาม และอาเซียน พัฒนาต่อยอดให้เป็น Global Thinking
“ผมอยากสร้างงาน เป็นนวัตกรรมที่แตะต้องได้ และสามารถใช้ได้ ลดค่าใช้จ่ายได้ และเราอยากเห็นมหิดล ส่งออกเชิงพาณิชย์สู่ตลาดโลกได้ เพราะเราเสียเงินนำเข้ายาปีละหลายแสนล้านบาทมานานมาก ผมอยากเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน”

“ศ.นพ.สุรเดช” บอกเลยว่า ความสามารถของการพัฒนาที่เกิดจากการทำ “Physician-Scientist” ที่ไม่ได้เพิ่มทำ แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว ตอนนี้หากเกิดโรคระบาดขึ้นอีก บอกได้เลยว่า ไทยสามารถพัฒนาวัคซีนขึ้นมารักษาป้องกันได้ทันทีภายใน 100 วัน
และทันทีที่ “โรงงานยาที่มีชีวิต” หรือ MU-Bio Plant เกิดขึ้นจริง “Physician-Scientist” คนไทย ก็สามารถพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลได้ทันที เพราะไทยได้สิทธิบัตร Circular mRNA มาแล้ว ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ก็กำลังดำเนินการกันอยู่ และทั่วโลกก็ทำกันแล้ว ด้วยการนำชิ้นเนื้อมาตรวจยีนผิดปกติ แล้วนำยีนนั้นมาผลิตเป็น mRNA ฉีดกลับเข้าไปในผู้ป่วย

“การทลายกำแพงมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดงานมากขึ้น นักวิจัยพร้อมจะทำ แต่นโยบายต้องลงมาให้ชัดเจน ทำให้เราสามารถทำงานได้ ข้ามสายงานได้ ต้องมีโปรเจคแมเนเจอร์ ที่สามารถ facilitate ได้ด้วย”
หากทุกอย่างเป็นไปตาม “โรงงานยาที่มีชีวิต” ของมหิดล เกิดขึ้นได้จริงอยากรวดเร็ว นักวิจัยหรือ “Physician-Scientist” ของ “ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง” ก็พร้อมลุยแน่นอน และการก้าวสู่ Medical and Wellness Hub ของไทย ก็จะเป็นไปจริงได้ทันที