“เดวิด เบ็คแฮม” ทูตสันถวไมตรี ยูนิเซฟ และผู้ก่อตั้ง 7 Fund รณรงค์ร่วมกับยูนิเซฟ สร้างความเชื่อมั่นต่อวัคซีนป้องกันโรค พร้อมเชิญชวนให้พ่อแม่ ผู้ปกครองทั่วโลก พาลูกๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนที่จำเป็นเพื่อป้องกันโรค
เนื่องในสัปดาห์แห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก (World Immunization Week) ซึ่งตรงกับสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนของทุกปี “เดวิด เบ็คแฮม” ได้ปล่อยวิดีโอ ที่พูดถึงการห่างหายจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งคนทั่วโลกต้องเผชิญในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการไม่ได้กอดกับคนในครอบครัว การไม่ได้เจอเพื่อนหรือคนที่รัก พร้อมทั้งกระตุ้นให้พ่อแม่ผู้ปกครอง เข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ปลอดภัยจากโรคร้าย ในขณะเดียวกัน เบ็คแฮม ยังได้ย้ำให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนที่จำเป็นตามกำหนด เพื่อปกป้องเด็กๆ จากโรคต่างๆ เช่น โรคคอตีบ หัด และโปลิโอด้วย
“เบ็คแฮม” กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา ทุกคนเห็นแล้วว่าโรคโควิด-19 ได้นำมาซึ่งความสูญเสียมหาศาล แต่ขณะเดียวกัน ก็เตือนให้เห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของวัคซีน วัคซีนเป็นสิ่งที่ได้ผลและสามารถช่วยชีวิตหลายล้านชีวิตได้ในแต่ละปี จากการที่ได้ร่วมงานกับยูนิเซฟมาตลอดหลายปี ทำให้เรียนรู้ว่าวัคซีนสำคัญมากขนาดไหนต่อสุขภาพของคนที่เรารัก แต่กระนั้น ก็ยังมีเด็กทั่วโลกจำนวนมากที่ไม่ได้รับวัคซีนที่จะช่วยปกป้องพวกเขาจากโรคร้ายต่าง ๆ ตามกำหนด นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องออกมารณรงค์ในสัปดาห์แห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก
นอกจาก “เดวิด เบ็คแฮม” แล้ว ยังมีทูตยูนิเซฟและศิลปินผู้สนับสนุนอีกหลายคน อาทิ ออร์แลนโด บลูม, โซเฟีย คาร์สัน, โอลิเวีย โคลแมน, แองเจลิค คิดโจ, เจเรมี หลิน, อลิซซ่า มิลาโน และเจสซี่ แวร์ อีกทั้งบุคลาการทางการแพทย์ ครู และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก ที่พร้อมใจกันออกมารณรงค์เรื่องวัคซีนผ่านกิจกรรมออนไลน์ นอกจากนี้ บุคลากรที่ทำงานด่านหน้าจากหลากหลายประเทศ ทั้งในประเทศเบนิน อินโดนีเซีย จอร์แดน และเปรู ก็จะมาบอกเล่าประสบการณ์จริง เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของวัคซีนในการช่วยปกป้องเด็กๆ จากโรคร้ายต่างๆ ไ
นางเฮนเรียตตา โฟร์ ผู้อำนวยการบริหาร องค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า จากมาตรการล็อกดาวน์ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหนึ่งปี ทำให้ต้องมีการปิดสถานศึกษา เด็กจำนวนมากตกหล่นจากการเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ หลายคนต้องฉลองวันเกิดผ่านออนไลน์ หลายครอบครัวแทบจะไม่ได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ในตอนนี้ ผู้คนทั่วโลกกำลังทยอยฉีควัคซีน หรือไม่ก็กำลังเฝ้ารอรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งนั่นก็เตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ขณะที่วันนี้ เราต่างทราบดีว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นความหวังที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็กจำนวนมากทั่วโลก ชีวิตตาม ‘ปกติ’ ของพวกเขากลับไม่ต่างจากเดิม นั่นคือ การเข้าไม่ถึงวัคซีนต่าง ๆ มากมายที่สามารถป้องกันโรคได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่สถานการณ์ ‘ปกติ’ ที่โลกควรจะกลับไปเป็น
ทุกๆ ปี ทารกแรกเกิดและเด็ก 14 ล้านคนทั่วโลก ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล พื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือในชุมชนแออัด ที่บริการสาธารณสุขเข้าไม่ถึง ในปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบให้สถานการณ์ดังกล่าวแย่ลงไปอีก อีกทั้งมาตรการล็อกดาวน์และอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการจัดส่ง ยังอาจส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตของเด็กจากโรคที่ป้องกันได้เพิ่มขึ้นมหาศาล
ในประเทศไทย การได้รับวัคซีนของเด็กยังคงเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงในพื้นที่ชายแดนใต้ ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและสนับสนุนจากยูนิเซฟ ระบุว่า ในจังหวัดปัตตานีและจังหวัดนราธิวาส มีเด็กอายุ 1 ปีเพียง 63% และ 52% เท่านั้น ที่ได้รับวัคซีนครบ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศที่ 82%
สัปดาห์แห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก (World Immunization Week) มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีน เพื่อปกป้องผู้คนทุกเพศทุกวัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ในปีนี้ การรณรงค์เน้นแนวคิด “Vaccines bring us closer” หรือ “วัคซีนเชื่อมเราให้ใกล้กัน” ที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้คนทั่วโลกเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัคซีนในการเชื่อมผู้คนให้ใกล้กัน ตลอดจนส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนทุกที่ทั่วโลกไปตลอดช่วงชีวิต