เอสซีจี เติมความเข้มธุรกิจพลังงานสะอาด ดัน Learn to Earn ลดภาระสังคม

admin
0 0

Sharing is caring!

Read Time:10 Minute, 54 Second

เอสซีจี ปรับแนวรบเสริมความฟิตธุรกิจพลังงานสะอาด ลดต้นทุน โฟกัสธุรกิจ ปรับปรุงการจัดเก็บและขนส่ง ผลักดัน AI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมเล็งพัฒนาโซลูชั่นเจาะลึกแบบไมโคร ตอบโจทย์ลูกค้า สกัดธุรกิจไม่ทำเงิน เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการเงิน เผยรายได้ครึ่งปีแรกเติบโตแล้ว 3% คาดทั้งปีน่าจะทำได้ตามเป้า 10%

ภาวะเศรษฐกิจโลกและเมืองไทยที่ยังผันผวนไม่หยุด ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศยังแกว่งตัวแรง ทำให้กลุ่มเอสซีจีต้องปรับตัวอย่างหนักอีกครั้ง

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกที่ว่าเหนื่อยแล้ว ครึ่งปีหลังยังต้องระวังตัวอย่างหนัก เพราะยังมีปัจจัยลบที่คาดว่าจะส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างประเทศ ที่ไม่ว่าจะได้ใครมาเป้นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางการค้ากับจีน ก้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ในขณะที่ประเทศไทยเอง ยังมีปัญหาทั้งหนี้ครัวเรือน และกำลังจากซื้อของกลุ่มคนระดับกลางถึงล่างที่ลดลง เพราะฉะนั้น เอสซีจีจึงต้องพยายามฟิตและคุมเข้มการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

“เราปรับตัวเองให้ฟิต ฟิตทางธุรกิจคือ ลดพลังงาน ประหยัด ทำให้ใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นไปอีก โฟกัสธุรกิจ อะไรที่ไม่เพอร์ฟอร์มคือปิดหรือหยุดไปเลย แล้วย้ายคนย้ายทรัพยากรไปธุรกิจที่ยังเติบโต เช่น โซล่ารูฟ ธุรกิจการประหยัดพลังงาน ธุรกิจรถโม้เล็ก พร้อมทั้งนำเอไอเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ” 

สุดท้ายคือโซลูชั่นที่โดนใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ยิ่งถ้าเจาะเข้าสู่ไมโครเซ็กเม้นท์ได้ จะยิ่งส่งผลดีต่อธุรกิจมากขึ้น  

ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2567 ผลประกอบการเอสซีจีปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ กำลังซื้อในตลาดอาเซียนดีขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย รวมทั้งมีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น ส่งผลให้มีรายได้ 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน กำไรสำหรับงวด 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้ 252,461 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยมีสัดส่วนยอดขายจากเอสซีจี เคมิคอลส์ 39% เอสซีจีพี 27% เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน 16% เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงและเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล 13% และเอสซีจี เดคคอร์ 5% และคาดว่าถึงสิ้นปีกลุ่มเอสซีจีจะเติบโตได้ตามเป้า 10% จากการปรับตัวในหลายๆ ด้าน

เอสซีจี เพิ่มความฟิตทางธุรกิจ สร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ด้วย 1.) บริหารต้นทุนพลังงาน อาทิ ธุรกิจซีเมนต์ในไทยเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้ 47% และตั้งเป้าถึงสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 50% 2.) โฟกัสธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น มุ่งธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม 3.) ปรับปรุงการจัดเก็บ ขนส่ง กระจายสินค้า เช่น ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลวางแผนการจัดส่ง ตรวจรับสินค้า ช่วยลดเวลาทำงาน ลดความเสียหาย ลดโอกาสผิดพลาดในการรับ-ส่ง

4.) ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเอสซีจี เคมิคอลส์ใช้โซลูชัน AI จาก REPCO NEX ในการดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุงได้อย่างแม่นยำ มีเสถียรภาพ (Reliability) ถึง 100% และ 5.) มุ่งส่งมอบโซลูชันที่ฟังก์ชันและราคาตรงกับความต้องการของลูกค้า อาทิ CPAC รถโม่เล็ก ขนาดกะทัดรัด สำหรับงานก่อสร้างในเมืองที่มีซอยเล็ก บรรทุกคอนกรีตได้มากสุด 2 คิวต่อเที่ยว ช่วยบริหารปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ได้ง่าย ลดการเหลือทิ้ง

ในครึ่งปีแรกของปี 2567 การพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) มียอดขาย 38,690 ล้านบาท คิดเป็น 20๔ ของยอดขายรวม ขณะที่ นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) มียอดขาย 77,037 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของยอดขายรวม และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice มียอดขาย 136,124 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของยอดขายรวม

การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมส่งออกจากไทย ครึ่งปีแรกของปี 2567 มียอดขาย 111,367 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของยอดขายรวม

ธรรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ครึ่งปีหลังของปี 2567 ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความท้าทายต่อเนื่อง แต่เอสซีจีพร้อมรับมือด้วยความคล่องตัวและมั่นคง มีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร 78,907 ล้านบาท รวมทั้งนวัตกรรมโซลูชันตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าครบวงจร นอกจากนี้ ยังคุมเข้มการลงทุนและการเดินหน้าธุรกิจ ซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องรายงานผลประกอบการย้อนหลังเป็นรายเดือน

ตอนนี้มีการตั้งธงว่า แต่ละธุรกิจต้องไปดู แล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่ามีความคืบหน้าอย่างไร เราดูที่ผลประกอบการย้อนหลัง ถ้าเห็นท่าไม่ดี เขาต้องกลับไปพิจารณา แล้วต้องกลับมาเล่าแผนว่า ถ้าจะเดินหน้าอันนี้ต่อคิดว่ามันจะดีขึ้นได้อย่างไร และจะทำอะไร อันไหนที่คิดว่าอยากจะหยุด โอเคให้หยุดได้เลย ธุรกิจที่ไม่ทำกำไรต้องหยุดให้เร็ว แล้วหันไปพัฒนาธุรกิจที่กำลังเติบโตให้มากขึ้น เป็นการมองโอกาสทางธุรกิจระยะยาว

ธรรมศักดิ์ ย้ำว่า การสูญเสียทรัพยากรที่ไม่เกิดประโยชน์ต้องลดลง เพื่อทำให้กระแสเงินสดของธุรกิจดียิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่มีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหารอยู่ 78,907 ล้านบาท ถ้าสามารถควบคุมตรงนั้นได้ดี จะทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 90,000 ล้านบาทได้ ซึ่งตอนนี้สั่งลุยแล้วเต็มที่ ถ้าธุรกิจไม่เพอร์ฟอร์ม คือ จัดการทันที โดยธุริกจที่หยุดดำเนินการไปแล้ว คือ เอสซีจี เอ็กซ์เพรส ทำให้เอสซีจีสามารถหยุดส่วนธุรกิจขาดทุนลงไป แล้วนำกำลังคนและทรัพยากรไปเติมในส่วนงานอื่นที่มีการเติบโต อย่างธุรกิจโซล่ารูฟ หรือ ห้องเย็น เป็นต้น นอกจากนี้ งานก่อสร้างที่คนอื่นทำได้ เช่น ตึกธรรมดาๆ โดยจะให้ความสำคัญกับคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ หรืออาคารที่เป็นกรีน

สำหรับ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจของเวียดนามและอินโดนีเซียที่กลับมาฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง กำลังซื้อกลับมาจากแรงหนุนของรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสร้างเมืองหลวงใหม่ ‘นูซันตารา’ รวมทั้งรัฐบาลเวียดนามผลักดันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI) ขณะที่การฟื้นตัวของไทยยังชะลอตัว ความต้องการสินค้าลดลงตามฤดูกาล และการจัดสรรงบประมาณของรัฐที่ล่าช้า

เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน เร่งผลักดันปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชัน 2 ซึ่งสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ร้อยละ 15-20 เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์เดิม โดยขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งได้สร้างความมั่นใจในคุณภาพการใช้งานจนสามารถส่งออกสหรัฐอเมริกาได้แล้วมากกว่า 1 ล้านตัน ล่าสุด เปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำรายแรกในเวียดนาม ‘SCG Low Carbon Super Cement’ ขณะที่ในไทยตลาดโตต่อเนื่อง สัดส่วนการใช้ทดแทนปูนแบบเดิมกว่าร้อยละ 86 พร้อมหนุนงานโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ได้ออกปูนซีเมนต์หลากหลายรุ่น คุณภาพและราคาเหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมมากขึ้น เช่น แบรนด์ ‘5 STAR’ ในกัมพูชา ‘BEZT’ ในอินโดนีเซีย ‘ADAMAX’ ในเวียดนาม และ ‘แรด’ ในไทย

ส่วนเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล มีสินค้าและบริการเรื่องบ้านผ่านร้านค้าปลีกกว่า 87 ร้านในอาเซียน โดยครึ่งปีแรกของปีได้ขยายโมเดิร์นเทรด ‘Mitra10’ ผู้เชี่ยวชาญตลาดค้าปลีกในอินโดนีเซีย มีสินค้ากว่า 65,000 รายการ เพิ่มอีก 2 สาขา ที่เกาะสุมาตรา และเกาะชวาตะวันตก ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก รับลูกค้ามากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ตั้งเป้า 100 สาขา ในปี 2573 ปัจจุบันเปิดแล้ว 50 สาขา

เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง รุกนำเสนอนวัตกรรมวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ อาทิ กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น เอสซีจี หนุนรับนักท่องเที่ยว สามารถออกแบบลวดลายเอกลักษณ์ด้วยเทคนิคการพ่นสีเฉพาะ เช่น ลายดอกโบตั๋น สำหรับทางเท้าย่านเยาวราช พร้อมทั้งเปิดตัวนวัตกรรมระบบบำบัดอากาศเสีย Air Scrubber สำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก ภายใต้แบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living เจาะกลุ่มลูกค้างานอาคารและสำนักงาน ที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดน้อยกว่า 3,500 ตร.ม. พร้อมขยายบริการครอบคลุมอาเซียนและตะวันออกกลาง

เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) ดันแผนสร้างการเติบโต 2 เท่าภายในปี 2573 เริ่มเดินการผลิตโรงงานแผ่นปูพื้น SPC LT by COTTO กำลังผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดกว่า 500 ล้านบาท และเดินหน้าก่อสร้างโครงการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง กลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน สวยงาม แข็งแรง เป็นที่นิยม 3 โครงการใหญ่ในประเทศเวียดนามและไทย คาดเริ่มเดินการผลิตปีนี้

ขณะเดียวกัน เอสซีจีขยายตลาดวัสดุก่อสร้างสู่อินเดีย โดย SCG International ร่วมกับบริษัทบิ๊กบล็อก คอนสตรัคชั่น จำกัด ลงทุนเปิดโรงงานแผ่นผนังมวลเบา (AAC Walls) ภายใต้แบรนด์ ‘ZMARTBUILD WALL by NXTBLOC’ แห่งแรกในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่การก่อสร้างมีมูลค่าสูงและเติบโตต่อเนื่อง

เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) แม้ไตรมาสที่ผ่านมาธุรกิจมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น จากการกลับมาเดินเครื่องของโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังอ่อนตัว จากความต้องการสินค้าในตลาดโลกลดลง ขณะที่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม SCGC เร่งผลักดันนวัตกรรมรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMERTM สู่ตลาดที่มีความต้องการมาก อาทิ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ล่าสุดร่วมกับ Dow พัฒนาธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกตลอดห่วงโซ่คุณค่าเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกปริมาณกว่า 200,000 ตันต่อปี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นผลิตภัณฑ์หมุนเวียนที่มีมูลค่า ภายในปี 2573

โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) กลับมาทดสอบการเดินเครื่องทั้งโรงงานขั้นต้น (Upstream) และขั้นปลาย (Downstream) ในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 และจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567

เอสซีจีพี (SCGP) มุ่งขยายกำลังการผลิตรับความต้องการบรรจุภัณฑ์จากภาคการท่องเที่ยวและบริการ ประกอบกับบริหารจัดการวัตถุดิบและต้นทุนพลังงาน รวมทั้งสร้างการเติบโตในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ล่าสุด SCGP รุกขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ด้วยการลงทุนในบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการผลิตชิ้นส่วนสมรรถนะสูงจากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าของ Deltalab, S.L. และ Bicappa Lab S.r.L. บริษัทใน SCGP เพื่อรองรับความต้องการและส่งเสริมให้ SCGP ขยายเครือข่ายลูกค้าในต่างประเทศครอบคลุมยิ่งขึ้น

ธุรกิจน้องใหม่ เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เติบโตได้ดีตามแผน มุ่งเพิ่มสัดส่วนการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีกำลังการผลิตรวม 522 เมกะวัตต์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ จับมือ ซีเกท ประเทศไทย ลงนามในสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้า Solar Rooftop ขนาด 20.96 เมกะวัตต์ ณ โรงงานซีเกท จังหวัดนครราชสีมา สำหรับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด Rondo Heat Battery อยู่ระหว่างการก่อสร้างยูนิตแรกของโลกสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่โรงงานปูนซีเมนต์เอสซีจี จ.สระบุรี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2568 ซึ่งจะสามารถเป็นต้นแบบสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรมต่อไป

ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า เอสซีจียังร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี เตรียมจัดโครงการ Go Together ให้ความรู้ สร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยเริ่มจากโรงงานสระบุรี พร้อมขยายผลไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เอสซีจีมีโรงงานตั้งอยู่ เช่น กาญจนบุรี ลำปาง ขอนแก่น นครศรีธรรมราช เป็นต้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการปรับปรุงและนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน นำของเหลือใช้มาสร้างประโยชน์ เช่น แปรรูปเป็นวัตถุดิบ เชื้อเพลิง รวมทั้งใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ขณะที่มูลนิธิเอสซีจี ส่งเสริมแนวคิด LEARN to EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด เน้นการเรียนรู้เพื่อมีงานทำ โดยมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบ ประมาณ 3,000 ทุนต่อปี ในสาขาที่ตอบโจทย์ตลาด เช่น ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เป็นต้น โดยกว่า 90% มีงานทำ

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 23 สิงหาคม 2567 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 8 สิงหาคม 2567

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

Next Post

กลุ่มเซ็นทรัล จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ทั่วประเทศตลอดปี

กลุ่มเซ็นทรัลเทิดทูนสถาบัน จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติทั่วประเทศตลอดปี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

You May Like