แสนสิริ ประกาศนำ ESG อัดแน่นคุณภาพ “โปรดักส์-บริการ-กระบวนการทำงาน” ครบลูป จับมือกรีนพาร์ทเนอร์ สร้างอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่ง ซัพพอร์ตสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ พร้อมเติมพลังและเพิ่มมูลค่าแบรนด์ในใจผู้บริโภค
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ และ Green Partnership ได้ร่วมกันปรับธุรกิจ กำหนดเส้นทาง สู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการเปลี่ยนผ่านการดำเนินธุรกิจบนแนวทาง ESG (Environment – Social – Governance) โดยในปี 2567 ในโอกาสดำเนินธุรกิจสู่ปีที่ 40 นับเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริ ที่จะให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริการ และ Process การทำงานทั้งหมด โดยการผนึกความร่วมมือกับ Green Partner ที่มีมากกว่า 4,000 ราย
ในมุมมองการดำเนินธุรกิจ จำเป็นต้องมองให้ครบทุกด้านในเรื่อง ESG เพราะความยั่งยืนเกี่ยวเนื่องกับความเสี่ยงของธุรกิจ เช่นทรัพยากรจากธรรมชาติที่นำมาใช้ในประบวนการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นไม้ หิน ซีเมนต์ ที่มีแนวโน้มจะลดปริมาณและขาดแคลนลง ซึ่งจะส่งผลถึงราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น ในขณะที่ตลาด เริ่มมีวัสดุทางเลือกเข้ามาทดแทนมากขึ้น ทำให้ต้องมีการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและย่อยสลายได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจ ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิตของแรงงาน รวมถึงมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความยากจนและการเข้าถึงบริการพื้นฐาน เพราะหากแรงงานไม่มีความสุข productivity อาจจะลดลง และส่งผลระดับ operation หยุดชะงัก
ตรงนี้เป็นความท้าทายที่ธุรกิจจะต้องเข้าใจ ต้องผนวกแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์ขององค์กร ต้องบูรณาการให้คอบคลุมมิติด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ไปพร้อมๆ กันอย่างสมดุล
แสนสิรินำเรื่องความยั่งยืนมาเป็นกลยุทธ์และการดำเนินงานของบริษัทอย่างจริงจัง พร้อมกับดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราให้เติบโตไปด้วยกัน โดยเป้าหมายสูงสุดคือการร่วมมือกับพันธมิตร และสนับสนุนให้ Green Partner เติบโตไปด้วยกัน เพื่อผลักดันให้ทั้งอุตสาหกรรมและประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แสนสิริมีการวางแผนดำเนินการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกองค์กร 3 ระดับ ได้แก่ แผนระยะสั้นในปี 2025 เพื่อลดคาร์บอนลง 20% ล่าสุดปี 2023 ทำได้ 15% แผนระยะกลางปี 2033 ตั้งเป้าที่ 50% พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในแผนระยะยาวปี 2050 รวมถึงการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบ้านและคอนโดที่นำส่งแก่ผู้บริโภค เพื่อสอดรับไปกับแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
อุทัย กล่าวว่า ปีนี้แสนสิริเน้นย้ำเรื่องคุณภาพมาก ทั้งด้านสินค้าที่ต้องอาศัย Green Partner เรื่องของบริการ รวมทั้งคุณภาพในด้าน Process การทำงานต่างๆ ซึ่งปีนี้แสนสิริวางแผนเปิดตัว 46 โครงการใหม่ มูลค่า 61,000 ล้านบาท การที่จะเดินถึงจุดหมายที่กำหนดไว้ได้ แสนสิริคู่ค้ามีความสำคัญมาก ที่ผ่านมา จึงนำร่องในการนำโมเดล Green Supply Chain มาประยุกต์ใช้ ร่วมกับผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานทั้ง 3 ด้าน คือ Green Architecture and Design, Green Construction, Green Procurement ราว 4,000 ราย ทั้งหมดนี้คือฟันเฟืองสำคัญในการสร้างมูลค่าให้กับภาคธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1.05 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 5.8% ต่อจีดีพี
โมเดล Green Supply Chain เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนคู่ค้าที่มี DNA ในเรื่อง ESG และให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนเช่นเดียวกับแสนสิริ ให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น แม้รู้ว่าอาจต้องมีการเพิ่มเติมขึ้นมาของต้นทุน แต่เมื่อมองภาพในระยะยาว เมื่อเกิด Economy of Scale ต้นทุนสูงจะเป็นเพียงช่วงเริ่มต้น และจะทำให้เกิดเสถียรภาพทั้งกับแสนสิริและคู่ค้าในระยะยาว รวมถึงสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ ที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนไปของโลก การปรับตัวและเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ผู้บริโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
จากการเก็บข้อมูล ในแต่ละปีแสนสิริปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่โลกราว 2 ล้านตันต่อปี ซึ่งการเป็นการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (SCOPE 1) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (SCOPE 2) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ที่แสนสิริสามารถควบคุมได้ แต่ในส่วนของ SCOPE 3 ที่มีปริมาณ 98% เป็นส่วนที่เกี่ยวกับซัพพลายเชนทั้งหมด เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่แสนสิริต้องผลักดันต่อไป
แสนสิริเริ่มจากการปรับตัวเองก่อน และส่งต่อประสบการณ์และองค์ความรู้ให้กับพาร์ตเนอร์เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม และมั่นใจว่า Green Supply Chain ที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ สามารถผลักดันให้เกิดเครือข่ายการทำงานใน Green Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่เปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาด Green Economy มากขึ้น
อุทัย ยังกล่าวถึงหลายโปรเจคที่ดำเนินการไปแล้วเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น Green Living Design Home ที่่ทำไปเมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยังทำเรื่องการประหยัดพลังงาน การติดตั้งโซล่าเซลล์ การติดตั้ง EV Charger การวาง Infrastructure ภายในโครงการต่างๆ รวมถึงการทำติดตั้ง “โซลาร์ แบตเตอรี่” ที่คลับเฮาส์โครงการ
นอกจากนี้ ยังปลูกต้นไม้ปีละเกือบ 1 แสนต้น ซึ่งสามารถดูซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 40 ตันต่อปี การบริหารจัดการขยะ ที่เริ่มทำจากภายในองค์กร แล้วขยายไปสู่ลูกบ้านในโครงการต่างๆ และการทำโรงงาน Sansiri Precast Factory ที่ลำลูกกา คลอง 11 จ.ปทุมธานี
การสร้าง Green Supply Chain จะช่วยทำให้แสนสิริ สร้าง Green Economy ให้แข็งแกร่ง ทำให้ได้ทั้งการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจได้ด้วย และยังเป็นการสร้างแบรนด์แสนสิริให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย