RISE เปิดเวทีเสวนา Sustainable Executive Forum ถกความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศ ปัญหาใหญ่ภาวะโลกร้อน ขณะที่ยุโรป อเมริกา ทยอยออกกฎเกณฑ์การค้าควบคุม หากภาคธุรกิจไทยไม่เร่งปรับตัว หมดทางเติบโตยั่งยืน
ภาคธุรกิจไทยอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ หากไม่เร่งปรับตัว รับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของระบบนิเวศ และกฎเกณฑ์ทางการค้าใหม่ๆ ที่ทั้งยุโรป อเมริกา และนานาประเทศ กำลังกำหนดมาตรการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ตอกย้ำการเป็นผู้สร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมองค์กรผ่านเครือข่ายทั่วโลก ได้จัดเวทีสัมมนา Sustainable Executive Forum ภายใต้หัวข้อ “Climate Catalyst: Unveiling the Risks and Opportunities for Humanity and Corporations” ถ่ายทอดแนวคิดมุมมองการทำธุรกิจบนเส้นทางความยั่งยืนท่ามกลางวิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Cliamte Change) ให้อยู่รอด โดยมี นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และ นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมให้ข้อมุล และแสดงความคิดเห็น
เกียรติชาย ผู้อำนวยการองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศ สร้างความเสี่ยงมากมายให้แก่โลกไม่ว่าจะเป็นอากาศแปรปรวน ร้อนสุดขั้วจนเกิดคลื่นความร้อน ฝนตกรุนแรงน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่ควรเกิด ปัญหาไฟไหม้ป่า ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาเหล่านี้ส่งผล กระทบโดยตรงต่อระบบ Ecosystem ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต อุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม แน่นอนว่าความเสี่ยงเหล่านี้สร้างความหวาดกลัว และตื่นกลัวให้กับประชาชน ภาครัฐ รวมทั้งภาคธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ในอนาคตหากยังไม่เร่งปรับตัวจะได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ส่งผลมาถึงระบบซัพพลายเซน อย่างเลี่ยงไม่ได้
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้หลายประเทศ เริ่มที่จะออกมาตรการเพื่อทำการ Adoption หรือ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ประชุม COP : Conference of the Parties เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะ EU ที่เริ่มมีการออกมาตรการ CBEM เพื่อควบคุมคาร์บอนไดออกไซด์ในการขนสินค้าข้ามแดน เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่
หลายๆ บริษัทฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการตื่นตัว และกำหนดให้การปล่อยคาร์บอน์ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่จะทำการค้าระหว่างองค์กรและองค์กร
การค้าการลงทุนนับจากนี้ จะต้องดำเนินการตามมาตรการใด ๆ ก็ตามแต่เพื่อที่จะเป็นการลดอัตราการปล่อยคารบอนออกไซด์ เพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) วันนี้ภาคธุรกิจปฏิเสธที่จะไม่ทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของโลกใบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะหากไม่เร่งดำเนินการจะทำให้ธุรกิจของเราหลุดออกเทรนด์ และมีโอกาสการต่อยอดกับต่างประเทศไทยได้ลดน้อยลง
ทางด้าน ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การที่จะลดคาร์บอน หรือ ก๊าซเรือนกระจกนับจากนี้ องค์กรจะต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเอง โดยเฉพาะการหาเทคโนโลยีมาดิสรัปชัน ด้วยการทำการจัดเก็บคาร์บอน และตรวจวัดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้รู้ว่าปล่อยไปเท่าไหร่ และจะต้องหามาชดเชยเท่าไหร่
ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ได้ให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ตาม SDGs คือการให้ความสำคัญในด้านพลังงาน ด้านน้ำ และด้านการปล่อยของเสีย เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าต่อไปองค์กรจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบหรือ วิกฤตสภาพอากาศ เพราะเราอยู่ใน Ecosystem ดังนั้น การทำธุรกิจจะต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจในรูปแบบ Sustainability ของไมโครซอฟท์ มองเรื่องผลประโยชน์มากกว่า เพราะความยั่งยืนไม่ใช่การทำสังคมสงเคราะห์ โดยไมโครซอฟท์มีการทำระบบข้อมูลผ่านมาตรการ 5R ได้แก่ Record , Report, Reduce, Remove, Replace ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถรู้สถานะคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของตนเอง และปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ตรงตามเป้าหมาย
นพ.ศุภชัย ปาจรยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร กล่าวถึงการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน เปลี่ยนวิกฤตสภาพอากาศ เป็นโอกาส ทางธุรกิจในประเทศไทยไว้ว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเมกะเทรนด์ขนาดใหญ่ของโลกรองลงมาจาก AI การทำธุรกิจบนแนวทาง sustainability ไม่ได้เป็นการทำเพราะกระแสทางการตลาดอีกต่อไป เพราะนับจากนี้ทุกองค์กรจะต้องมีแนวทางที่ทำธุรกิจบนความยั่งยืนที่เป็นมากกว่าการแยกขยะ โดยจะต้องเป็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลาง วิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
“เราจะต้องสร้างโอกาสจากความเปลี่ยนแปลง และทำให้ธุรกิจเดิมอยู่รอดไปด้วย โดยแนวทางแรกที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตไปได้คือ ทุกองค์กรจะต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้ก่อนว่าขณะนี้เราปล่อยคาร์บอนออกไปทำร้ายโลกเท่าไหร่ จากนั้นจึงหาวิธีการลดคาร์บอนที่ปล่อยที่ออกไป ด้วยการวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ”
ภาคธุรกิจจะต้องหาวิธิการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกิจรูปแบบ Sustainability แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานที่จะทำให้ธุรกิจเดิมอยู่รอด และสร้างธุรกิจใหม่ด้วยความยั่งยืน เพราะแน่นอนว่าเราหนีไม่พ้นวิฤกตสภาพอากาศครั้งนี้ และจะต้องทำตามข้อตกที่ประเทศไทยเสนอต่อการประชุม COP ในปีที่ผ่านๆ มา
นพ. ศุภชัย กล่าวว่า จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นให้ RISE เชื่อว่าภาคธุรกิจอาจจะยังสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นออกแบบธุรกิจบนความยั่งยืนอย่างไร
RISE ได้จัดทำหลักสูตร Sustainabiblity Tranfromation Xponential หรือ STX หลักสูตรแรกและหลักสูตรเดียวในประเทศไทยที่จะเข้ามาช่วยนำทางให้แก่ภาคธุรกิจ ได้เดินไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยองค์ความรู้ทั้งหมดจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทำให้องค์กรในประเทศไทยกลายเป็นองค์กรชั้นในการทรานฟอร์มสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ นอกจากเป้าหมายของ RISE ที่มีการผลักดันในเกิดการเพิ่ม GDP ของประเทศอีก 1 % แล้ว เรายังต้องการที่จะช่วยประเทศ ลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้อีก 1% ด้วย