รมว.พิมพ์ภัทรา กระทรวงอุตสาหกรรม โชว์วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อโลก เพื่อเรา นำร่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 7.2 ล้านตันต่อปี ผ่านกลไก 3 ด้าน “คือ “Green Productivity, Green Marketing และ Green Finance” เผยสัปดาห์นี้เตรียมคลอดมาตรการอีวี 3.5
พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งหวังให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” โดยกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้า เพื่อโลก เพื่อเรา ส่งต่ออุตสาหกรรมเขียวจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านกลไก 3 ด้าน คือ Green Productivity Green Marketing และ Green Finance โดยผลักดันการดำเนินธุรกิจที่จะต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดกิจกรรม “Moving Green Forward ก้าวไปข้างหน้า เพื่อโลก เพื่อเรา” โดยนำร่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมได้มากกว่า 7.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
สำหรับการส่งต่ออุตสาหกรรมสีเขียวจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านกลไก 3 ด้าน ประกอบด้วย
1) Green Productivity โดยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน เพื่อก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค พร้อมสนับสนุนพลังงานสะอาด อาทิ ปลดล็อคเรื่องการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) และโครงการโรงไฟฟ้าสีเขียว (UGT) เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของภาคธุรกิจ ผลักดันการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular แห่งแรกของประเทศในพื้นที่ EEC เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมการ Recycle เพื่อลดการเกิดของเสีย สนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดี และการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากใบและยอดอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวภาพแทนการเผาทิ้ง เพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้นวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และโครงการยกระดับธุรกิจ SME ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG
2) Green Marketing เน้นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคอุตสาหกรรม และ SME ในตลาดยุคใหม่ที่มีการกีดกันทางการค้า รวมถึงกฎหมาย และกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดการภาวะโลกร้อนที่เป็นความ ท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน พร้อมสนับสนุนการทำ Carbon Footprint of Product และ Carbon Footprint of Organization นอกจากนี้ ยังส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
3) Green Finance ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน ผ่านการให้สินเชื่อลดโลกร้อน ต่าง ๆ อาทิ สินเชื่อลดโลกร้อน (Decarbonize Loan) จากกองทุกเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สินเชื่อธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG Loan) จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และสินเชื่อธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม (DIPROM Pay for BCG) จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM)
รัฐมนตรีฯ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งสร้างการรับรู้ให้ภาคอุตสาหกรรมได้ตระหนักและให้ความสำคัญ ในการลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดการภาวะโลกร้อนที่เป็นความท้าทายต่อภาคการผลิตของประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถนำร่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมได้มากกว่า 7.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดีพร้อมขานรับทิศทางการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมทั้ง 3 ด้าน โดยเชื่อมกับนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต มุ่งยกระดับให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวให้ก้าวทันอุตสาหกรรมยุคใหม่ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก (RESHAPE THE INDUSTRY) โดยเฉพาะในเรื่องของการดำเนินธุรกิจที่จะต้องคำนึงถึงความยั่งยืน ผ่านการจัดกิจกรรม “Moving Green Forward ก้าวไปข้างหน้า เพื่อโลก เพื่อเรา” ภายในงานจะได้เรียนรู้เทรนด์ธุรกิจ องค์ความรู้ และมุมมองการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่ครบทุกมิติ
ทั้งการบรรยายและเสวนาจากองค์กรและบริษัทชั้นนำ ที่ดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการบริหารจัดการด้านอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมกับกิจกรรมคลินิกให้คำปรึกษา แนะนำจากหน่วยงานพันธมิตรที่มาจัดแสดงสินค้านวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การให้แนะนำสินเชื่อสำหรับธุรกิจรักษ์โลกจากสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ โครงการยกระดับธุรกิจ SME ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ยังมีรูปแบบกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการใช้นวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยตั้งเป้ายกระดับผู้ประกอบการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศจำนวนกว่า 1,800 ราย และคาดการณ์ว่าการดำเนินโครงการดังกล่าว สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,380 ล้านบาท ทั้งนี้ ดีพร้อม เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญของภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้าผ่านกลไก 3 ด้าน คือ Green Productivity, Green Marketing และ Green Finance ซึ่งความท้าทายใหญ่ที่สุดของคนในกระทรวงอุตสาหกรรมเวลานี้
“ที่ผ่านมา เรารับรู้ถึงข่าวสารการปิดตัวของกิจการต่าง ๆ รวมถึงเอสเอ็มอี เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเงินทุน ภาวะการแข่งขันอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนกติกาโลก เหล่านี้คือความท้าทายของรัฐบาล และกระทรวงอุตสาหกรรมที่ต้องเร่งหามาตรการในการช่วยเหลือและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์ (EV)”
ในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมและคลอดมาตรการ อีวี 3.5 โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทอดทิ้งยานยนต์ดั้งเดิม (ICE) และได้มีการขยายเวลาบังคับใช้มาตรการมาตรฐานเครื่องยนต์ยูโร 5 และยูโร 6 ไปอีกสองปีข้างหน้า เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัว
ส่วนการสนับสนุนพลังงานสะอาด กระทรวงอุตสาหกรรม กำลังจะยื่นขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อปลดล็อคโซลาร์รูฟท็อป เพื่อรองรับนโยบายพลังงานสีเขียวได้อย่างเป็นรูปธรรม ใช้ได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้เรื่องของพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ส่งเสริมและสนับสนุนเฉพาะนักลงทุนในประเทศเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์นักลงทุนต่างประเทศที่กำลังตัดสินใจเข้ามาลงทุนและถามหาพลังงานสะอาดในประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยให้สามารถตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนได้ ส่วนปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากการเผา ซึ่งเกษตรกรชาวไร่อ้อย มักจะตกเป็นจำเลยว่าเป็นต้นเหตุ ซึ่งเราได้ขอความร่วมมือไปยังจิสด้า และไทยคม เพื่อใช้เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจจุดความร้อน (hot spot) หากพบที่ใดให้ตรวจสอบทันทีว่าเป็นเพราะการเผาของชาวไร่อ้อยหรือไม่ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบย้อนหลัง 3 ปี พบว่า การเผาของชาวไร่อ้อยลดลง ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการชดเชยการตัดอ้อยสดลดพีเอ็มที่กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนเงินทุนเพื่อดำเนินการ