“เอไอเอส – กัลฟ์ – สวพส.” ผนึกกำลังต่อยอด Digital For Thai ผ่านโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ให้เข้าถึงบริการโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ทั้งไฟฟ้าและเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ นำร่อง 2 พื้นที่ห่างไกล ชุมชนบ้านดอกไม้สด และ ชุมชนมอโก้โพคี จ.ตาก เล็งถึงสิ้นปีขยายเพิ่มอีก 4 พื้นที่ อมก๋อย-เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และตาก
สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า เอไอเอสได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของเป้าหมายการช่วยเหลือชุมชน ภายใต้แนวคิด “ESG” ที่สอดรับกับการดำเนินงานด้าน Sustainability & Inclusive Growth เอไอเอสพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแกร่ง และมีความพร้อมมากพอที่จะเชื่อมต่อการทำงานกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบร่วมกัน (Ecosystem Economy) ด้วยความเชื่อมั่นในระบบสื่อสารโครงข่ายดิจิทัลเทคโนโลยี ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างโอกาสให้กับผู้คนให้เข้าถึงความรู้ใหม่ๆ
จากแนวคิด “Digital For Thais” พัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนมีความสามารถในการใช้โครงข่าย สร้างประโยชน์ในการทำงานด้วยเทคโนโลยี แต่วันนี้ การทำเรื่องดิจิทัลด้านเดียวไม่พอ เอไอเอส ได้กำหนดนโยบายด้าน Sustainability &Inclusive Growth ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมและสิ่งแวดล้อม ใน 3 แกน คือ Drive Digital Economy การนำดิจิทัลไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้ทฤษฎีพาย 3 ชิ้น ที่เป็นแนวคิดเศรษฐกิจแบบ Ecosystem Economy การเติบโตแบบร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ แกนที่ 2 Promote Digital Inclusion และ 3 Act on Climate ที่พยายามขยายการใช้งานโซล่าเซลล์ให้ได้มากที่สุด
สมชัย กล่าวว่า เอไอเอสมีจุดแข็งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ให้บริการเครือข่ายทั่วประเทศ แต่ยังมีพื้นที่ห่างไกลหลายแห่งในประเทศที่ยังเข้าไม่ถึง เอไอเอส ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ทำให้เกิดความร่วมมือกับ กัลฟ์ และ สวพส. ในโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งขณะนี้นำร่องโครงการ ไปแล้ว 2 พื้นที่ห่างไกล ได้แก่ ชุมชนบ้านดอกไม้สด และ ชุมชนมอโก้โพคี ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
นอกจากนี้ เอไอเอสและกัลฟ์ รวมถึง สวพส. ยังร่วมติดตามความเปลี่ยนแปลงในแต่ละชุมชน ผ่าน Social Impact Assessment หรือประเมินผลลัพธ์ทางสังคมต่อประโยชน์ของโครงการนี้ ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในมิติต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ สวพส. อยู่ในพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล เพื่อศึกษาติดตามผลในระยะสั้น กลาง ยาว ทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง เพื่อตรวจสอบเศรษฐกิจครัวเรือน รายได้ สุขภาพ และการศึกษา คาดว่าภายในระยะ 6 เดือนถึงหนึ่งปี จะสามารถเห็นผลวิจัยเป็นรูปธรรม
ธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กัลฟ์มีเป้าหมายในการให้โอกาสชุมชนเข้าถึงสาธารณูปโภคได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งปีนี้ กัลฟ์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไปแล้วใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ดอยมอโก้โพคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก บ้านแม่ตอละ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน บ้านผีปานเหนือ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
ก่อนหน้านี้ นำร่องติดตั้งชุดอุปกรณ์ระบบโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ทุรกันดารตั้งแต่ปี 2566 ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บ้านห้วยน้ำไซ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เกาะทุ่งนางดำ อ.คุระบุรี จ.พังงา และบ้านดอกไม้สด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก รวมถึงมีทีมวิศวกรจาก GULF1 ให้ความรู้ด้านการบำรุงรักษาและวิธีการใช้งานชุดอุปกรณ์โซลาร์เซลล์แก่ชุมชน เพื่อให้สามารถใช้งานระบบโซลาร์ได้อย่างยั่งยืน เมื่อได้ลงพื้นที่จริง
ชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส.กล่าวว่า โครงการความร่วมมือครั้งนี้ เป็นโครงการระยะยาว 5 ปี จากภารกิจของ สวพส. ในการนำความรู้ของโครงการหลวง ไปพัฒนาให้ชุมชนบนพื้นที่สูงของประเทศมีความอยู่ดีมีสุข สามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตัวเองได้ และจากความร่วมมือในโครงการ Green Energy Green Network for THAIs จะทำให้สามารถต่อยอดการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ทั้งบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาทักษะด้านอาชีพ หรือแม้กระทั่งการตลาด เพื่อให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างประโยชน์ทั้งชุมชน เศรษฐกิจ และยังเป็นการดูแลรักษาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนด้วย
อย่างไรก็ตาม ชุมชนในพื้นที่ห่างไกลที่อยุ่ในความดุแลของ สวพส. มีมากกว่า 4,200 กลุ่มบ้าน ขณะนี้ เข้าไปช่วยเหลือได้แล้วประมาณ 2,200 กลุ่มบ้าน และจะขยายความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแง่การตลาด การจัดหาแหล่งกระจายสินค้าจากชุมชน ซึ่งขณะนี้กำลังเจรจากับภาคเอกชนอื่นๆ เพื่อร่วมเข้าสนับสนุนต่อไป