0
0
BSGF เดือนเครื่องผลิตเมษายน 2568 เผยมีบริษัทน้ำมันรายใหญ่จับจองแล้ว 30-40% จากกำลังผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน คาดทำรายได้ปีแรก 18,000 ล้านบาท ล่าสุดจับมือ MK Group ร่วมส่งต่อน้ำมันใช้แล้ว จากร้านอาหารในเครือ 11 แบรนด์ 1,400 สาขา พร้อมขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้าน กัมพูชา เมียนมาร์ รับซื้อน้ำมันใช้แล้วเพิ่ม
นิพนธ์ เลิศทัศนีย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด พร้อมด้วย พงษ์ชัย พิพิธวิจิตรกร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK Group และ ธนวัฒน์ ลินจงสุบงกช ประธานกลุ่มบริษัทธนโชค ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อจัดการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ไม่ทิ้งลงพื้นที่สาธารณะ และไม่ทอดซ้ำ เพื่อส่งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีควบคู่กับการส่งมอบความอร่อยแบบรักษ์โลก
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ร้านอาหารใน MK Group ซึ่งเป็นแบรนด์กลุ่มธุรกิจร้านอาหารประเภทสุกี้ชื่อดังชั้นนำระดับประเทศ รวมทั้งธุรกิจอาหารประเภทอื่น ๆ รวม 11 แบรนด์ อาทิ ร้านสุกี้ MK กว่า 450 สาขา ร้านอาหารยาโยอิ เกือบ 200 สาขา ร้านแหลมเจริญซีฟู้ดกว่า 45 สาขา และร้านอาหารในเครืออื่น ๆ เกือบ 700 สาขาทั่วประเทศ จะดำเนินการบริหารจัดการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพผ่านโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” และ “ไม่ทอดซ้ำ” โดยจะจำหน่ายให้กับ BSGF เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF)
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมกาผรู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด )มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้โรงงานผลิต SAF ของบางจาก เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปได้แล้วกว่า 55% และคาดว่าจะเริ่มเปิดเดินเครื่องได้ตั้งแต่ 31 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยมีกำลังผลิตเฉลี่ย 1 ล้านลิตรต่อวัน ขณะนี้มีการสั่งจองแล้ว 30-40% จากบริษัทเมเจอร์ออยล์ต่างๆ
โรงงานแห่งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น บริษัท ธนโชคออยล์ ไลท์ จำกัด และ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used Cooking Oil) ด้วยงบลงทุนราว 8,500 ล้านบาท และคาดว่าจะทำรายได้ในปีแรกราว 18,000 ล้านลาท โดย SAF สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80%
สำหรับอุตสาหกรรมการบินนั้น SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหารจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้กว่า 80% เทียบเท่าการบินด้วยเชื้อเพลิงการบินในปัจจุบัน โดยเริ่มจากกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทางและขนส่งทางอากาศลงได้ราว 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สอดคล้องกับมาตรการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil AviationOrganization: ICAO) และสมาคมการบินระหว่างประเทศ (InternationalAir Transport Association: IATA)ที่สนับสนุนให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปีค.ศ. 2050
ประเทศไทยมีปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานวันละ 20 ล้านลิตร หากดำเนินการตามเกณฑ์ที่ยุโรปมีการใช้มาตรการบังคับให้ผสม SAF ลงไปในน้ำมันอากาศยานทั่วไปในสัดส่วนอย่างน้อย 2% ในปี 2568 และกำหนดให้เพิ่มเป็น 5% ในปี 2573 จนถึงปี 2593 ที่ต้องผสมอยู่ที่ 70% สำหรับ 5% ในปี 2573 ก็จะต้องใช้น้ำมัน SAF ประมาณ 1 ล้านลิตร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่อยู่ในเกณฑ์ที่บางจากสามารถทได้ และยังมีแนวทางขยายสู่ Bio Marianne เพื่อให้สำหรับการเดินเรืออีกด้วย โดยมาตรฐานการผลิตจะไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ SAF จะมีตวามเข้มข้นมากกว่า Bio Marianne ที่เป็นน้ำมัน B24 หรือน้ำมันที่เติมไบโอไป 24% อย่างไรก็ตาม บางจากมีแผนในการผลิต แต่ทั้งนี้ต้องดูที่ความต้องการตลาด และผลตอบแทนด้วย
ส่วนวัตถุดิบคือ น้ำมันใช้แล้วที่ขณะนี้บางจากรับซื้ออยู่ที่ประมาณ 20 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะทางในการขนส่งส่งด้วย ซึ่งจากวันแรกๆ ที่ซื้อเดือนหนึ่งได้ประมาณ 5 ตัน ตอนนี้ได้ประมาณ 50 ตัน วิธีการรับซื้อ เริ่มจากน้ำมันใช้แล้วที่มีตลาด จะมีคนไปรับซื้อมาเก็บไว้ที่ตำบล แล้วก็มีคนประจำอำเภอไปนำเก็บไว้ที่อำเภอ ถึงเวลาครบ 4 หมื่นลิตร ก็จะมีตัวแทนประจำจังหวัด เอารถ 4 หมื่นลิตรไปขนส่งมาที่สมุทรสาคร ซึ่งขณะนี้ไม่เพียงการรับซื้อในประเทศ แต่ขยายไปยังเพื่อบ้านเช่น กัมพูชา และเมียนมาร์ อีกด้วย
