NIA แนะสตาร์ทอัพ ชี้ 3 เทรนด์อุตสาหกรรมน่าลงทุน

admin
0 0

Sharing is caring!

Read Time:3 Minute, 35 Second

NIA เผยเทรนด์สตาร์ทอัพปี 2025 อุตสาหกรรม AI, Green Tech และ FinTech เตรียมทะยานขึ้น ขับเคลื่อนไทยสู่เวทีโลก ย้ำ ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสตาร์ทอัพที่เป็นมิตรต่อธุรกิจมากที่สุดในโลก

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (MHESI) ได้เผยภาพรวมการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในปี 2024 โดยพบว่าอัตราการเติบโตสะสมตั้งแต่ปี 2021 อยู่ที่ 3.3% ตอกย้ำว่าไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสตาร์ทอัพที่เป็นมิตรต่อธุรกิจมากที่สุดในโลก

  • 3 เทรนด์เทคโนโลยีมาแรงปี 2025: AI, Green Tech และ FinTech

ก้าวเข้าสู่ปี 2025 สตาร์ทอัพต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ มี 3 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีศักยภาพเติบโตสูงและเป็นที่สนใจของนักลงทุน ได้แก่

ปัญญาประดิษฐ์ (AI): เทคโนโลยี Generative AI กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างก้าวกระโดด ขณะที่ AI Agentic Systems หรือระบบ AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ รองรับความต้องการตลาดได้ดีขึ้น และลดการใช้ทรัพยากร

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA

เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Green Tech, CleanTech และ Climate Tech): การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) กำลังเป็นกระแสหลักของโลก โดยตลาดเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ในทศวรรษหน้า

ฟินเทค (FinTech): ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงให้ความสนใจกับ FinTech อย่างมาก โดยในปี 2024 ฟินเทคได้รับเม็ดเงินลงทุนสูงสุดถึง 26% ของการระดมทุนทั้งหมด นำโดยนวัตกรรมด้านการชำระเงินดิจิทัล การเงินแบบกระจายศูนย์ และแอปพลิเคชันบล็อกเชน

  • ไทยขึ้นแท่น Digital Economy Hub ดึงเม็ดเงินลงทุนมหาศาล

ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ศักยภาพของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในไทยเติบโตขึ้นกว่า 54% ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย คาดว่าในช่วงปี 2024–2027 ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนในศูนย์ข้อมูลได้มากถึง 260,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง รวมถึงสร้างนโยบายระยะยาวที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน นอกจากนี้ สตาร์ทอัพไทยยังต้องปรับตัวให้สอดรับกับแนวโน้มของโลกที่ให้ความสำคัญกับ AI, ESG และการพัฒนาทักษะแรงงาน

  • NIA กับบทบาท “Focal Conductor of Innovation” หนุนสตาร์ทอัพไทยสู่เวทีโลก

ในปี 2025 NIA จะเดินหน้าสนับสนุนและผลักดันสตาร์ทอัพไทยผ่าน 4 เสาหลัก ได้แก่

  • GROOM (สร้างองค์ความรู้และเครือข่าย): ผ่านหลักสูตรของ NIA Academy และโครงการ Startup Thailand League ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่
  • GRANT (สนับสนุนเงินทุน): ให้ทุนสนับสนุนทั้งธุรกิจเชิงพาณิชย์และโครงการเพื่อสังคม เช่น โครงการ ‘Innovation Village’
  • GROWTH (เร่งการเติบโต): ผ่านโปรแกรมเร่งสปีดสตาร์ทอัพใน 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ Food Tech (SPACE-F), AgriTech (AGROWTH), Health Tech และ Climate Tech
  • GLOBAL (ขยายสู่ตลาดโลก): สร้าง Global Startup Hub พร้อมจับมือกับพันธมิตรระดับโลก อาทิ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และกลุ่มนอร์ดิก เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพไทยก้าวสู่เวทีสากล

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนเงินลงทุนผ่าน โครงการ Corporate Co-Funding ร่วมกับสมาคมการร่วมลงทุนไทย (TVCA) ซึ่งมอบเงินลงทุนร่วมสูงสุด 10 ล้านบาท รวมถึง กองทุนส่งเสริมสตาร์ทอัพของ BOI ที่พร้อมสนับสนุนเงินทุน 20-50 ล้านบาท และกองทุน One Innovation Fund จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ที่มีวงเงินลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท

  • “Startup Act” กฎหมายใหม่ เตรียมปฏิวัติวงการสตาร์ทอัพไทย

นอกจากแผนสนับสนุนด้านเงินทุนและเครือข่าย รัฐบาลไทยยังเตรียมออก “Startup Act” หรือ พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพ ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับสำคัญที่จะช่วยปรับโครงสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยให้เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจหน้าใหม่ โดยคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนและกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมของประเทศ

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

Next Post

“โบซานคายา” ลงนามผลิตรถไฟฟ้า 53 ขบวนให้ กทม. ขับเคลื่อนเมืองสีเขียว

“โบซานคายา” จากตุรกี ร่วมพันธมิตร “ซีเมนส์ โมบิลิตี้” และ “เอสที เอ็นจิเนียริ่ง เออร์เบิน โซลูชั่นส์” ลงนามสัญญาผลิตรถไฟฟ้า 53 ขบวนให้กรุงเทพมหานคร ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

You May Like