ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ปัญหาใหญ่ที่ไทยและทั่วโลกต้องเร่งแก้ไข เผย ทั่วโลกเพิ่มเฉลี่ยปีละ 2.6 ล้านตัน ขณะที่ไทย เพิ่มขึ้น 17% ต่อปี จากปริมาณ E-waste ล่าสุด 439,495 ตัน SCB EIC ระบุ คนไทย 30% เปลี่ยนออุปกรณ์ไอทีทุก 1-5 ปี พร้อมเสนอ 6 แนวทางแก้ปัญหาเร่งด่วน และหนึ่งในนั้นคือ Green Electronics
จิรภา บุญพาสุข นักวิเคราะห์ SCB EIC ระบุ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ได้กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ส่งผลให้วงจรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีอายุสั้นลง จากข้อมูลของ The Global E-waste Monitor เปิดเผยว่า ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ณ ปี 2022 อยู่ที่ 62 ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ 82 ล้านตัน ในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 2.6 ล้านตันต่อปี
ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขยะอิเล็กทรออนิกส์ หรือ E-waste ล้นเมืองเช่นกัน โดยรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษที่ระบุว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีปริมาณ E-waste เพิ่มขึ้นราว 17% ต่อปี ในช่วงปี 2011-2022 มาอยู่ที่ 439,495 ตัน ในปี 2022 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการปรับเปลี่ยนสินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์ไอทีที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว สอดคล้องกับข้อมูลจากผลสำรวจของ SCB EIC ในหัวข้อ “การบริโภคอย่างยั่งยืน” พบว่า อุปกรณ์ไอที เช่น สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็น E-waste เร็วกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยราว 30% นิยมเปลี่ยนอุปกรณ์ไอที ใหม่ทุก 1-5 ปี
- E-Waste กับการบริหารจัดการที่ถูกต้อง
ปัจจุบันผู้บริโภคไทยเริ่มสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและ E-waste มากขึ้น แต่บางส่วนยังมีปัญหาในการบริหารจัดการ E-waste ให้เหมาะสม
ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมและ E-waste มากขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนได้จากข้อมูลผลสำรวจ Euroconsumers ที่ระบุว่า มากกว่า 90% ของผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มประเทศ EU ตระหนักว่า

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่ขยะทั่วไป โดยราวเกือบครึ่งตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการรีไซเคิล E-waste อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญคือ การบริหารจัดการที่ถูกต้อง โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจน้อยกว่าครึ่งที่สามารถแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถูกวิธี เช่นเดียวกับไทย
จากผลสำรวจของ SCB EIC พบว่า มากกว่า 88% ของผู้ตอบแบบสำรวจ สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเพิ่มขึ้นของปริมาณ E-waste โดย 30% ตอบว่ามีการนำไปทิ้งที่จุดรับทิ้ง E-waste อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคบางส่วนยังมีปัญหาในการจัดการกับ E-waste โดยพบว่า ราว 20% ของผู้ตอบแบบสำรวจยังคงมีพฤติกรรมเป็นนักสะสมขยะอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากแทบจะไม่เคยทิ้งหรือทิ้งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์น้อยมาก
- 8 แนวทางแก้ปัญหา E-Waste
ปัญหา E-waste ส่งผลให้ผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สีเขียวมากขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์โลก แต่ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณหากสินค้ามีราคาแพงกว่าสินค้าทั่วไป
จากผลสำรวจของ SCB EIC ได้รวบรวมข้อคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้
- ส่งเสริมการจัดให้มีจุด “รับคืน” หรือ “รับซื้อ”ขยะอิเล็กทรอนิกส์
- จัดให้มีจุด “รับทิ้ง” ขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบแยกประเภท
- ส่งเสริมโครงการอุดหนุนการซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว
- สิทธิพิเศษทางภาษีจากการซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวสำหรับภาคธุรกิจ เช่น อุปกรณ์สำนักงานที่ประหยัดพลังงานหรือที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้
- โครงการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะและข้อมูลผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สีเขียว
- ออกกฎระเบียบข้อบังคับเรื่องการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างจริงจัง
- ส่งเสริม/ดึงดูดการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว รวมไปถึงออกกฎหมายควบคุมและขึ้นภาษีสำหรับกลุ่มที่ไม่เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว
- การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงการการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว
- อิเล็กทรอนิกส์สีเขียวทางออก ที่กำลังขยายตัว
ปัญหามลพิษและปริมาณ E-waste ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์สีเขียวมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็หันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียวมากขึ้น สะท้อนได้จากข้อมูลของ Future Market Insights ที่ระบุว่า มูลค่าตลาดของการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวของโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจาก 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 1.77 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2033 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 26.14% ต่อปี (ระหว่างปี 2023-2033) ขณะที่แนวโน้มความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวในไทย มีแนวโน้มเติบโตเช่นเดียวกับทิศทางเทรนด์โลก
จากผลสำรวจฯ ของ SCB EIC พบว่า กลุ่มผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่มีความสนใจสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวและยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งยินดีจ่ายเงินเพิ่มแต่ไม่เกิน 5% ขณะเดียวกัน ยังคงมีผู้บริโภคบางส่วนที่ไม่สนใจสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและมองว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวมีราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไป นอกจากนี้ ผู้บริโภคราว 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจเริ่มมองว่าประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น การประหยัดพลังงาน การรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

- แรงกดดันด้าน ESG ตัวเร่งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว
ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคสะท้อนว่า แรงกดดันด้าน ESG คือความท้าทายสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะต้องมีการปรับกลยุทธ์และพัฒนาการผลิตไปสู่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสายกรีนมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่ จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังซัพพลายเออร์ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิต ที่จำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ผลิตภัณฑ์หรือวัสดุที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิต ผ่านการรับรองตามมาตรฐานจากบริษัทคู่ค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก ตื่นตัวกับปัญหา E-waste มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับวางขายใน EU จะต้องผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ EU กำหนด สำหรับไทย ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างเสนอร่าง พ.ร.บ. กากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนของรัฐสภาและมีการบังคับใช้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยที่นำไปสู่การบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างจริงจัง มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
- E-waste โจทย์ที่ท้าทายของไทย
แม้ภาครัฐจะอยู่ระหว่างการเสนอกฎหมายในด้าน E-waste ออกมา แต่ในแง่ของการปฏิบัติ ยังคงมีความท้าทายอีกมากเนื่องจากการจัดการ E-waste ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน อีกทั้ง ยังต้องการทรัพยากรทั้งในด้านเงินทุนและบุคลากร ซึ่งในปัจจุบัน จะพบว่าการจัดสรรพื้นที่หรือจุดรับทิ้ง E-waste ตามชุมชนยังมีไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ แม้ผู้บริโภคไทยจะเริ่มตื่นตัวกับปัญหา E-waste มากขึ้น แต่ยังคงขาดองค์ความรู้ในการทิ้งหรือคัดแยก E-waste ออกจากขยะทั่วไปอยู่ อีกทั้ง การบังคับใช้กฎหมายอาจยังไม่มีความเข้มงวดเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ปัญหา E-waste ยังคงเป็นภัยร้ายต่อไทยอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด