SCGD ดันสินค้า SCG GREEN CHOICE พุ่ง 82% ย้ำตลาดกรีนสดใส ผู้บริโภครุ่นใหม่ตอบรับ พร้อมขยายกลุ่มสินค้าต่อเนื่อง ด้านผลประกอบการครึ่งปีโตเกินตลาด จากยอดขายสินค้า HVA ไทย-เวียดนาม กำเงินหมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจเติบโตระยะยาว
นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) กล่าวว่า ครึ่งปีแรก บริษัทใช้งบลงทุนไปแล้วราว 746 ล้านบาท และคาดว่าในช่วงคร่งปีหลังจะใช้งบประมาณใกล้เคียงกัน รวมทั้งปีกว่า 1,000 ล้านบาท ไม่รวมงบการร่วมลงทุนทั้งแบบ M&A และ M&P ในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่มเติมกับพันธมิตร เพราะในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่สำคัญและมีโอกาสเติบโตสูง โดยในพอร์ตสินค้าของ SCGD กว่า 82% เป็นกลุ่มสินค้า SCG GREEN CHOICE ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ยังมีอนาคต
นอกจากนี้ SCGD ยังเตรียมเงินลงทุนราวหมื่นล้านบาท เสริมการเติบโต 2 เท่าภายในปี 2573 โดยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 ดีเกินตลาดจากยอดขายสินค้า HVA กำไรสูงในเวียดนาม บวก 2 โครงการลดต้นทุนพลังงานที่แล้วเสร็จ ต้นไตรมาส 3 เตรียมส่งกระเบื้องเกลซพอร์ซเลนและกระเบื้องไซส์ใหญ่ที่โรงงานในเวียดนาม ป้อนตลาดเพิ่มอีกตามเป้ากว่า 11 ล้าน ตรม./ปี
นำพล กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไร 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการขาย 6,566 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ลดลง 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทั้งนี้ รายได้หลักมาจากธุรกิจเซรามิกทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยในส่วนของเวียดนาม รายได้จากยอดขายเติบโตจากไตรมาสแรกถึง 22% เนื่องจากความสามารถในการเพิ่มยอดขายสินค้ามูลค่าสูง (HVA) ทำให้ราคาขายปรับตัวดีขึ้น และ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดเวียดนามเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย
ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 13,350 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย สามารถทำกำไรสำหรับงวดครึ่งปีได้ 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 365 ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสามารถขายสินค้า HVA ที่มีกำไรสูงในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม และรักษาระดับราคาขายสินค้าทั้งกระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตผ่านโครงการต่าง ๆ ประกอบกับมีโครงการลดต้นทุนพลังงานที่แล้วเสร็จในในไตรมาสที่ 2 อีกจำนวน 2 โครงการ
ส่วนภาพรวมในครึ่งปีแรก SCGD ยังเติบโตได้ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มั่นใจว่าจะยังคงทำกำไรได้ตามเป้าหมาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโครงการลงทุนติดตั้ง Hot Air Generator ในประเทศไทยได้แล้วเสร็จอีก 2 แห่ง และเมื่อรวมกับโครงการที่แล้วเสร็จไปก่อนหน้านี้ จะทำให้บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนพลังงานลงได้ถึง 60-70 ล้านบาทต่อปี ที่สำคัญ SCGD จะมีรายได้เพิ่มเข้ามา จากโรงงานแผ่นปูพื้น SPC LT by COTTO ที่เริ่มเดินการผลิตแล้วในเดือนกรกฎาคม ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดกว่า 500 ล้านบาท รวมถึงการปรับปรุงและเพิ่มกำลังการผลิตของสินค้ากลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลนและกระเบื้องขนาดใหญ่เพื่อขยายตลาดที่เวียดนามอีก กว่า 11 ล้านตารางเมตรต่อปี
ขณะนี้โครงการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมาก และคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มเดินการผลิตภายในปี 2567 คาดว่าโครงการต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มรายได้มากขึ้นด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้น เนื่องจากสินค้าแผ่นปูพื้น SPC LT by COTTO กระเบื้องเกลซพอร์ซเลนและกระเบื้องขนาดใหญ่ ล้วนเป็นสินค้าที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่าสินค้าปกติ และมุ่งขยายตลาดไปยังระดับกลางถึงบน
SCGD ยังเตรียมการที่จะขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติม โดยในประเทศไทยได้เริ่มทดลองเปิดให้บริการ COTTO LiFE สาขาดอนเมือง ซึ่งเป็นโชว์รูมใหม่ล่าสุดด้วยพื้นที่ 2.5 พันตารางเมตร และจะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในเดือนสิงหาคม และจะเปิด COTTO LiFE ที่ภูเก็ต เพิ่มอีก 1 สาขา มีพื้นที่แสดงสินค้า 1.1พันตารางเมตร ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2568 นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น LHCG Construction Store (LHCG) หรือ บริษัทลีเฮงชาย เปิดร้านค้าปลีกเซรามิกและสุขภัณฑ์ แห่งแรกภายใต้ชื่อ “OK Tile Center” ที่ปอยเปต กัมพูชา และเตรียมการที่จะขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ขายทางตอนใต้ของเวียดนามและพื้นที่ใหม่ ๆ ในแต่ละประเทศเพิ่มเติมด้วย จึงมั่นใจว่าในปีนี้ SCGD จะสามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน”
SCGD ยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถในการเติบโตในระยะยาวของบริษัท ด้วยสินทรัพย์รวมมูลค่าประมาณ 42,072 ล้านบาท โดยมีหนี้สินรวมอยู่ที่ 20,046 ล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นมีมูลค่าอยู่ที่ 22,026 ล้านบาท บริษัทฯ ยังมีการจัดการกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลักได้อย่างมั่นคง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มี EBITDA หรือ กำไรส่วนที่เป็นเงินสดอยู่ที่ 910 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายที่สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต โดยจนถึงไตรมาสปัจจุบัน บริษัทฯ มีเงินสด ประมาณหมื่นล้านบาท เพื่อเตรียมไว้สำหรับการลงทุนเพิ่มเติม นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 165 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 5 สิงหาคม 2567 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 6 สิงหาคม 2567
สำหรับ SCGD มีเป้าหมายสร้างการเติบโต 2 เท่า ตามแผนงานภายในปี 2573 โดยจะดำเนินการตามแผนงานหลัก รวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ ธุรกิจวัสดุปิดผิวและตกแต่งหลากหลายประเภทในกลุ่ม Decor Surface Materials นอกจากนี้ SCGD ยังลดต้นทุนการผลิตลงต่อเนื่อง และยังดำเนินหน้าต่อ พร้อมพัฒนาเรื่องกรีน และ SCG GREEN CHOICE ในขณะที่ปัจจัยบวกทั้งภายในและภายนอกประเทศยังพอมีให้เห็น เช่น เรื่องนักท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงตลาดคอนโดมิเนียม ที่หากรัฐผ่อนผันมาตรการ จะทำให้มีกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้ ยังรอลุ้นเรื่องเงินดิจิทัลว่าจะได้ผลมากน้อยเพียงใด