SCGD เผยความสำเร็จธุรกิจยั่งยืน ลดต้นทุนด้วยพลังงานทดแทน พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม พร้อมนำเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ปี 68 ยึดแนวทางเดิม เสริมด้วยการขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน เพิ่มรายได้โต 2 เท่า
นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) กล่าวว่า SCGD ปี 2567 เติบโตสวนกระแสตลาดอาเซียนชะลอตัว กำไร 810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% จากแนวทางการดำเนินธุรกิจยั่งยืน ที่ให้ความสำคัญกับคีย์หลัก 3 ส่วน ได้แก่
- พัฒนาและผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มต่อเนื่อง (High Value Added : HVA) ต่อเนื่อง ปรับไลน์การผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่ในเวียดนามและไทย รวมทั้งสิ้น 14 ล้านตารางเมตร ล่าสุด ได้ปรับไลน์การผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่เพิ่มอีก 5 ล้านตารางเมตร ณ เมือง Pho Yen เวียดนาม คาดแล้วเสร็จกลางปี 2568
- ลงทุนพลังงานทดแทนเพื่อลดต้นทุนกว่า 280 ล้านบาทต่อปี โดยใช้เชื้อเพลิงชีวมวลถึง 20% และใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ถึง 10% ตั้งเป้าปี 2573 เพิ่มการใช้งานพลังงานชีวมวล 46% และพลังงานโซลาร์เซลล์ 15%
- ใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ ปี 2568 เร่งตอบความต้องการตลาด อาทิ ตรวจสอบคุณภาพของแผ่นกระเบื้องในกระบวนการผลิต ใช้แขนกลหุ่นยนต์ในการผลิตสุขภัณฑ์ ระบบขนย้ายสินค้าและบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติ เป็นต้น รวมถึงการปรับปรุงการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
![](https://www.thenicebrand.com/wp-content/uploads/2025/01/1-2-1-840x560.jpg)
SCGD ให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว ธุรกิจสุขภัณฑ์ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Complementary Business) โดยเล็งเห็นถึงโอกาสการขยายส่งออก ในตลาดที่มีความต้องการหลากหลาย และเฉพาะเจาะจงมากขึ้น อีกทั้งเพิ่มช่องทางจำหน่ายในอาเซียนผ่านการเปิดร้านค้า 15 ร้าน ได้แก่ ไทยเปิด COTTO LiFE สาขาดอนเมือง และคลังเซรามิก 8 สาขา ฟิลิปปินส์เปิดร้าน CTM จำนวน 4 สาขา กัมพูชาเปิดร้าน OK Tile center และเวียดนามเปิดร้านค้า V Ceramic
นอกจากนี้ ยังจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าสุขภัณฑ์กว่า 170 รายในอาเซียน ส่งผลให้ยอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ เพิ่มประมาณ 500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน รวมทั้งปรับพอร์ตสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ปูนกาว ยาแนวสำหรับการติดตั้งกระเบื้อง ชุดครัว และประตูหน้าต่าง รวมถึงกระเบื้องสำหรับเคาท์เตอร์ท๊อปให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด ทำให้มียอดขาย 416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า
![](https://www.thenicebrand.com/wp-content/uploads/2025/01/2_GP60x60-MYKONOS-BEIGE_R1-840x793.jpg)
ปี 2568 SCGD ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 5% และ EBITDA จะเพิ่มขึ้นกว่า 5% จากสถานการณ์ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน ที่มีสัญญาณการเริ่มทะยอยฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทั้งในและต่างประเทศ SCGD ตั้งงบลงทุนอีก 4,000 ล้านบาท เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยการขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตสินค้า HVA รองรับการเติบโตในอนาคต พร้อมเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมทั่วอาเซียน โดยตั้งเป้าเติบโต 2 เท่า รวมทั้งยังเดินหน้าลดต้นทุนด้วยการใช้พลังงานทดแทนเข้ามาเสริมต่อเนื่อง
ส่วนปี 2567 SCGD มีรายได้ 25,563 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน โดยมี EBITDA 3,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน มีกำไร 810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% จากปีก่อน ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ และค่าเสียหายจากน้ำท่วมโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ รวมประมาณ 100 ล้านบาท
![](https://www.thenicebrand.com/wp-content/uploads/2025/01/3_LT-18x122-LAGOON-OAK-003-3.jpg)
ไตรมาส 4 ของปี 2567 มีรายได้ 5,978 ล้านบาท ลดลง 12% โดยมี EBITDA 604 ล้านบาท ลดลง 24% และมีกำไร 80 ล้านบาท ลดลง 45% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากไตรมาสนี้ มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวตามที่ได้กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ บริษัทสามารถลดเงินทุนหมุนเวียนลง 10% มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท จากการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า
ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 39,823 ล้านบาท อัตราส่วน EBITDA ต่อหนี้สินสุทธิ (Net Debt to EBITDA) มีสัดส่วน 1.4 เท่า กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจําปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท เมื่อในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนดวันที่ XD (หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล) ในวันที่ 31 มีนาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2568
![](https://www.thenicebrand.com/wp-content/uploads/2025/01/4_COTTO-Roomscene-_1-756x840.jpg)
การดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทาง ESG ทำให้ปีที่ผ่านมา SCGD ได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น “หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings” ระดับ A กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Propcon) และ “ดัชนี SETESG” ประจำปี 2567 สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืน และการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง คว้าผลประเมิน CGR ระดับ 5 หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567