ทีโอเอ อัดงบเพิ่มเกือบ 1,000 ล้าน ยกเครื่องกระบวนการผลิต เดินหน้าสู่ GREEN MISSION 2050 นำแนวคิด ESG ผนึก 7 Green Strategy ตั้งเป้าแผนระยะสั้น ปี 2025 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% แผนระยะกลาง ปี 2030 ลดให้ได้ 50% มุ่งสู่ Net Zero Emmission 2050
จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA เปิดเผยว่า งบลงทุนในปี 2567 บริษัทวางไว้ที่เกือบ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปกติที่บริษัทใช้งบลงทุนประมาณปีละ 500 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เกิดของเสียน้อยลง และช่วยให้ใช้พลังงานลดลง ผ่านนโยบาย GREEN MISSION ที่มี ESG ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) เป็นแผน
ทีโอเอ ได้กำหนดเป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2568 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ให้ 20% เทียบกับปีฐาน 2564 ซึ่งคาดกว่าปีหน้าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้า จากปัจจุบันทำไปได้แล้วเป็นตัวเลข 2 หลัก ส่วนเป้าหมายระยะกลาง จะต้องลดการปล่อยกีาซเรือนกระจกให้ได้ 50% ภายในปี 2573 และ Net Zero Emission ภายในปี 2593
การเดินทางสู่เป้าหมาย ดำเนินการผ่านการสร้าง Green Innovation ทำเรื่องของ Product Design รวมทั้งปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงาน นำ Digital Transformation เข้ามาปรับปรุงกระบวนการผลิต ปล่อยของเสียให้น้อยที่สุด ลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมกันนี้ ยังจัดการเรื่องระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ เช่น การนำรถขนส่งไฟฟ้า หรือไฮบริดเข้ามาใช้ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีนี้
ส่วน 7 กลยุทธ์หลัก (Green Strategy) ของทีโอเอ ที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรต่อไป คือ ‘Green Production’ หรือ ‘Green Factory’ ที่ให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการผลิตภายใน ซึ่งเป็นระบบปิดที่ได้มาตรฐานระดับสากล ใช้ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์มาช่วยเพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอนในการผลิต ใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดจากแสงอาทิตย์ การจัดการของเสียเพื่อทำให้ของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste Management) โดยตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยคาร์บอนด์ลงให้ได้ 2,940 ตันคาร์บอน (TonCO2e)
‘Green Energy’ ใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดจากแสงอาทิตย์ ทั้งในส่วนการผลิตและการดำเนินกิจกรรมทั่วไปในบริษัท ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2022 ทำให้ปี 2023 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 3.2 ล้านกิโลวัตต์ ใช้ลดการใช้พลังงานจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานได้มากกว่า 20% ตั้งเป้าภายในปี 2573 ต้องลดคาร์บอนให้ได้ 4,851 ตันคาร์บอน (TonCO2e) และตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยคาร์บอนด์ลงให้ได้ 1,419 ตันคาร์บอน (TonCO2e) จากการใช้ระบบขนส่งทั้งภายในและภายนอกด้วยระบบรถยนต์ไฟฟ้า เช่น EV FORKLIFT, EV FLEET CAR, EV STAFF CAR และ EV TRUCK
‘Green Value Chain’ กระตุ้น ผลักดัน และสนับสนุนให้เกิด Green Environment ในทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้น โดยคาดว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ราว 1,680 ตันคาร์บอนในปี 2573 ‘Green Partner’ ร่วมมือกับพันธมิตรภาคธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ คิดค้นโซลูชั่นต่างๆ เพื่อตอบโจทย์คู่ค้า ผู้บริโภค และช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ‘Green Reforestation’ จัดตั้งโครงการ “TOA รักษ์เรา รักษ์โลก ฟื้นคืนผืนป่าและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชนและประเทศ ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพตั้งเป้าจะปลูกป่าเพิ่มให้ครบ 2 ล้านต้น ภายในปี 2576
‘Greenovation’ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ใส่ใจต่อสุขภาพผู้บริโภค และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ ‘Green Certified’ ทีโอเอได้กำหนดมาตรฐาน “TOA GREEN CERTIFIED” สัญลักษณ์สินค้าคุณภาพตามมาตรฐานสากล ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย การใช้วัตถุดิบที่เป็นกรีน ทำแพคเกจจิ้งที่เป็นกรีน ประหยัดพลังงานและต้นทุน อายุการใช้งานยาวนาน อาทิ ‘TOA Organic Care’ สีทาภายในที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี Bio-Based ใช้วัตถุดิบหลักจากพืชหมุนเวียน ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก USDA สหรัฐอเมริกา และ “TOA Aqua Shield” สีเคลือบทับหน้ารวมรองพื้น สูตรน้ำ กลิ่นอ่อน ปลอดภัย ทาได้หลากหลายพื้นผิว จึงช่วยลดขั้นตอนการทา ช่วยประหยัดการใช้น้ำมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทีโอเอ ในกลุ่มสีทาอาคารและแผ่นยิปซัม 320 ผลิตภัณฑ์ ได้ผ่านการรับรองฉลากคาร์บอนและฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ SuperShield, TOA Organic Care, TOA Shield-1 Nano, 4SEASONS, SUPER MATEX, Expert series (Shield, Pro, Flex) และ TOA 7in1 และกำลังจะรอใบรับรองอีก 40 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะได้เรียบร้อยใน 1-2 เดือนนี้
ในปี 2566 ทีโอเอพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินการตาม กลยุทธ์ 7-Green สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 31,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) เทียบเท่ากับการปลูกต้นสักมากกว่า 1,800,000 ต้น ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของทีโอเอ
สินค้าในกลุ่ม Green Innovation มีราคาสุงกว่าปกติราว 20-30% หากจะทำให้ตลาดขยายตัวได้เร็วรัฐบาลต้องมีมาตรการออกมาช่วยกระตุ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทีโอเอ ถือเป็นการพัฒนานวัตกรรมและปรับปรุงกระบวนการผลิต แม้ช่วงแรกต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่จะได้ในแง่ของประสิทธิภาพและการลดค่าใช้จ่ายระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2567 คาดจะทรงตัว ส่วนไตรมาส 2 ยังคงมีปัจจัยกดดันทั้งในเรื่องของดอกเบี้ย เศรษฐกิจ และภัยแล้ง ขณะที่มีปัจจัยบวก ในเรื่องนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม หากผ่านงบประมาณปี 2567 ได้ จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีขึ้น และคาดว่ายอดขายปี 2567 จะเติบโต 5-8% จากปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการดำเนินงานธุรกิจใหม่ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัม และกระเบื้อง เข้ามาเสริม
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในปี 2567 ต้นทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่ของบริษัทจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบ