เปิดวิชั่นแอร์บัส สู่การบินไร้คาร์บอน กับโอกาสผู้ผลิต SAF ของไทย

admin
0 0

Sharing is caring!

Read Time:3 Minute, 24 Second

แอร์บัสเดินหน้าสู่อนาคตการบินไร้คาร์บอน เสนอวิสัยทัศน์และเทคโนโลยีไฮโดรเจนในงาน Airbus Industry Outreach ที่ประเทศไทย ประกาศตั้งเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ.2593 พร้อมพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนและเทคโนโลยีสะอาดรูปแบบใหม่อย่างจริงจัง เผยไทยและภูมิภาคอาเซียน มีศักยภาพสูงในการเป็นผู้ผลิต SAF จากทรัพยากรธรรมชาติและระบบเกษตรกรรมที่พร้อม

จูลี่ คิทเชอร์ (Julie Kitcher) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของแอร์บัส ได้กล่าวในงาน Airbus Industry Outreach ที่จัดขึ้นในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ว่า แอร์บัส (Airbus) บริษัทผู้ผลิตอากาศยานชั้นนำของโลกจากยุโรป ประกาศจุดยืนชัดเจนในการผลักดันอุตสาหกรรมการบินให้ก้าวสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission) ภายในปี 2593 (2050) พร้อมพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนและเทคโนโลยีสะอาดรูปแบบใหม่อย่างจริงจัง

จูลี่ คิทเชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของแอร์บัส

ขณะเดียวกัน ยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในการขับเคลื่อนการผลิตและใช้เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของอุตสาหกรรมการบิน

จูลี่ คิทเชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของแอร์บัส กล่าวระหว่างการเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า :

“การเดินทางทางอากาศเชื่อมโยงผู้คน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม แต่เราต้องมั่นใจว่าความก้าวหน้านี้ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม เป้าหมายของเราคือการลดผลกระทบด้านคาร์บอนโดยไม่ลดทอนการเข้าถึงของผู้คนทั่วโลก”

SAF: โอกาสทองของภูมิภาคในคลื่นเศรษฐกิจใหม่

หนึ่งในหัวใจสำคัญของแผน Net-Zero คือ การเพิ่มการใช้ SAF ซึ่งสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 80% ตลอดวงจรชีวิต เมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงการบินทั่วไป และสามารถใช้ร่วมกับเครื่องบินที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์หรือระบบจ่ายน้ำมัน

ไทยและอาเซียน มีจุดแข็งที่เหมาะสมต่อการเป็น ศูนย์กลางการผลิต SAF ระดับโลก ได้แก่:

  • ความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบชีวภาพ เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชใช้แล้ว ชีวมวล เศษเหลือทางการเกษตร ฯลฯ
  • ศักยภาพด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลังงานสะอาด
  • ตำแหน่งยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ และการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
  • บุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ที่มีคุณภาพและกำลังเติบโต

คิทเชอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า:

“เรามองเห็นศักยภาพของผู้ผลิต SAF ในไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งในภูมิภาคจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การบินยั่งยืนเป็นจริงได้เร็วขึ้น”

ไฮโดรเจน: ทางเลือกอนาคตที่แอร์บัสลงทุนอย่างจริงจัง

นอกจาก SAF แอร์บัสยังมุ่งพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนภายใต้โครงการ ZEROe โดยตั้งเป้าว่าเครื่องบินพาณิชย์แบบปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์รุ่นแรกจะพร้อมให้บริการภายในปี 2035

แต่การพัฒนาเครื่องบินไฮโดรเจนจำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ เช่น สถานีเติมเชื้อเพลิง สนามบินที่รองรับการจัดเก็บและขนส่งไฮโดรเจนอย่างปลอดภัย ซึ่งจะเปิดโอกาสใหม่ให้กับบริษัทเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค

นโยบายและความร่วมมือคือกุญแจ

แอร์บัสให้การสนับสนุนกรอบนโยบายสากล เช่น

CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่เป็นกลไกหลักในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนจากการบินระหว่างประเทศ โดยหวังว่าแต่ละประเทศในอาเซียนจะเร่งรับรองนโยบายและกลยุทธ์การสนับสนุน SAF อย่างชัดเจน

“ไม่มีใครสามารถบรรลุ Net-Zero ได้เพียงลำพัง” คิทเชอร์กล่าว

“เราต้องการพันธมิตรจากทุกภาคส่วน – ผู้ผลิตพลังงาน นักวิจัย สนามบิน สายการบิน และรัฐบาล – มาร่วมสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนร่วมกัน”

ไทยมีโอกาสเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม SAF แห่งภูมิภาค

การลงทุนใน SAF ไม่เพียงช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน แต่ยังเปิดประตูสู่การสร้างเศรษฐกิจสีเขียว สร้างรายได้จากการส่งออกเชื้อเพลิงสะอาด ลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า และเสริมความสามารถการแข่งขันระดับโลก

ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและการบินของภูมิภาค ควรเร่งเดินหน้าผลักดันนโยบายสนับสนุน SAF และพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อคว้าโอกาสทองในยุคของการบินยั่งยืน

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

Leave a Reply

Next Post

“แว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ” เดินหน้าช่วยเหลือผู้มีปัญหาการมองเห็น

จังหวัดเชียงราย พื้นที่ล่าสุดที่ได้รับการช่วยเหลือจาก “โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ” ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุผ่านการ ตรวจวัดสายตาและตัดแว่นฟรี แก่ผู้ที่มีปัญหาทางสายตาและอยู่ในพื้นที่ห่างไกล

You May Like